โรคติดต่อทางเพศ

ยากับภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ

ภญ.อัมพร จันทรอาภรณ์กุล

“ยา” และ “เซ็กซ์” พอเอ่ยถึงเรื่องยาและเซ็กซ์ขึ้นมา หลายคนมักจะคิดไปถึง ยาปลุกเซ็กซ์ หรือยาบำรุงกำลังทางเพศ เนื่องจากเวลาคนเราเกิดอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศหรือเซ็กซ์เสื่อม มักจะพยายามสรรหายาดีๆ เพื่อมาแก้ไขภาวะเซ็กซ์เสื่อมให้กลับมาดีดังเดิม หารู้ไม่ว่ายาบางตัวที่คิดกันว่าน่าจะช่วยกระตุ้นอารมณ์เพศ และความต้องการทางเพศให้ดีขึ้นนั้น บางครั้งไม่ออกฤทธิ์สมดังที่คาดหมาย ซ้ำร้ายอาจไปกดอารมณ์ทางเพศของคุณอีกด้วย
ยาต่างๆ ที่เราใช้รักษาโรคทั่วไปทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นยาบรรเทาอาการคัดจมูกรักษาโรคหวัด ยารักษาโรคกระเพาะอาหาร ยารักษาความดันโลหิตสูง หรือแม้กระทั่งยาบรรเทาปวดบางตัวที่ดูแล้วไม่น่าจะมีผลข้างเคียงอะไร แต่กลับมีรายงานว่ายาเหล่านั้นไปทำให้อารมณ์ความต้องการทางเพศลดลงหรือการตอบสนองทางเพศที่ผิดปกติได้

คนจำนวนไม่น้อยอยากทราบว่ายาที่รับประทานอยู่ว่าทำให้เสื่อมสมรรถภาพทางเพศได้หรือไม่ ดิฉันจึงอยากถ่ายทอดเรื่องยาที่ทำให้เกิดภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ เพื่อให้คุณได้รับความรู้ ความเข้าใจ และรู้วิธีปฏิบัติตัวที่ถูกต้องเมื่อสงสัยว่าเกิดอาการเซ็กซ์เสื่อมจากยา และก่อนที่จะกล่าวถึงยาที่ทำให้เกิดภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศนั้น อยากจะย้ำถึง “ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ” เสียก่อนจะได้เข้าใจว่าภาวะนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรและมีสาเหตุจากอะไรได้บ้าง

ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ
ในเพศชาย หมายถึงภาวะที่อวัยวะเพศไม่สามารถแข็งตัวพียงพอที่จะมีเพศสัมพันธ์ การหลั่งผิดปกติ หรือการมีความต้องการทางเพศลดลง ที่เรียกว่า Erectile Dysfunction; ED หรือ Impotence พบมากตามอายุ ร้อยละ 5 ในผู้ที่อายุน้อยกว่า 40 ปี สำหรับผู้ที่อายุมากกว่า 65 ปีจะพบได้ร้อยละ 15 ถึง 25

ในเพศหญิง หมายถึง การไม่มีความต้องการทางเพศหรือความต้องการทางเพศลดลง ไม่มีอารมณ์เวลาถูกกระตุ้นทางเพศ รู้สึกอึกอัดเวลามีเพศสัมพันธ์ หรือไม่ถึงจุดสุดยอด เหล่านี้เป็นกลุ่มที่เรียกว่า Female Sexual Dysfunctionโดยไม่ขึ้นกับอายุ แต่ส่วนใหญ่เกิดในช่วงวัยทองในระยะที่ฮอร์โมนเริ่มจะลดลง

ส่วนมากภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศไม่ว่าจะในเพศชายหรือหญิงมักเป็นแค่ชั่วคราว แต่หากเป็นถาวรแสดงว่าอาจจะมีสาเหตุทางด้านจิตใจหรือทางร่างกาย สาเหตุทางด้านจิตใจ ได้แก่ ความเครียด ความวิตกกังวลเกี่ยวกับงาน ครอบครัว ความกลัวความล้มเหลวทางเพศสัมพันธ์ หรือถูกตำหนิจากคู่ครองทำให้หมดความมั่นใจ จนนำไปสู่ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศได้ สาเหตุทางร่างกาย เช่น อายุที่เพิ่มมากขึ้น การมีโรคประจำตัวหรือโรคเรื้อรังที่มีผลต่อหลอดเลือดแดง หลอดเลือดดำ หรือกล้ามเนื้อบริเวณอวัยวะเพศ เช่น โรคเบาหวาน และโรคความดันโลหิตสูง การผ่าตัดและอุบัติเหตุที่มีผลต่อเส้นประสาทที่ไปควบคุมการแข็งตัวของอวัยวะเพศ การได้รับอุบัติเหตุที่อวัยวะเพศ เส้นประสาทไขสันหลัง กระเพาะปัสสาวะ กระดูกเชิงกราน พฤติกรรมการดำรงชีวิตได้แก่ การสูบบุหรี่ และการดื่มสุรา คนที่สูบบุหรี่หรือดื่มสุราจะเกิดภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศได้สูงกว่าคนปกติที่ไม่สูบบุหรี่หรือดื่มสุรา การออกกำลังกายผู้ที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอจะพบภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศได้น้อยกว่าผู้ที่ไม่ออกกำลังกาย และการได้รับบางชนิด

ยาอะไรบ้างที่ทำให้เซ็กซ์เสื่อม
มียาหลายกลุ่มที่อาจเป็นสาเหตุให้เกิดภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ได้แก่
ยารักษาความดันโลหิตสูง ยาที่มีผลทำให้เกิดปัญหาดังกล่าวเรียงตามความถี่ของรายงานการเกิดเซ็กซ์เสื่อม ดังนี้ กลุ่มยาขับปัสสาวะที่ใช้ในโรคความดันโลหิตสูง เช่น Hydrochlorothiazide, Spironolactone พบได้บ่อยที่สุด รองมาเป็น ยาในกลุ่ม Beta-blocker เช่น Propranolol, Atenolol, Metoprolol รองลงมาเป็น ยากลุ่ม Alpha-blocker เช่น Prazosin และยากลุ่มอื่นๆ เช่น Hydralazine, Methyldopa, Enalapril ตามลำดับ

ยาที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท ยาที่ใช้ในการรักษาผู้ที่มีปัญหาทางจิต ส่วนใหญ่จะมีกลไกการออกฤทธิ์ที่มีผลต่อระบบประสาทหรือสมองส่วนกลางทำให้การตอบสนองต่อสิ่งเร้าอารมณ์ลดลง เมื่อมีสิ่งกระตุ้นอารมณ์เพศเกิดขึ้น ความต้องการทางเพศจะลดลงมากกว่าครึ่งหนึ่ง และการตอบสนองจะน้อยกว่าคนที่ไม่ได้ใช้ยามาก ซึ่งเกิดได้ทั้งชายและหญิงที่ได้รับยากลุ่มนี้ แต่ชายจะมีผลทำให้อวัยวะเพศไม่แข็งตัว มีปัญหาเรื่องหลั่งได้

นอกจากนี้การรับประทานยากล่อมประสาทและยาคลายเครียดในกลุ่ม Benzodiazepine เช่น Lorazepam, Diazepam เมื่อใช้ไปนานๆ อารมณ์เพศจะลดลง หย่อนสมรรถภาพทางเพศ และอาจไม่ถึงจุดสุดยอดได้

ยาที่ใช้รักษาโรคระบบทางเดินอาหาร คนที่เป็นโรคกระเพาะลำไส้ส่วนใหญ่มักจะได้รับการรักษาด้วยยาลดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารและยาเคลือบกระเพาะ ยาลดการหลั่งกรด เช่น Cimetidine และ Ranitidine นั้นมีผลต้านฤทธิ์กับฮอร์โมนเพศชาย ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการเกิดอารมณ์ทางเพศ เมื่อฮอร์โมนเพศชายถูกต้านฤทธิ์ความต้องการทางเพศจะลดลง เหตุการณ์นี้เกิดได้ทั้งชายและหญิง เพราะอารมณ์เพศหญิงนั้นมาจากฮอร์โมนเพศชายจำนวนเล็กน้อยที่ร่างกายสร้างขึ้น เมื่อหยุดรับประทานยาไปสักระยะหนึ่งแล้วอาการต่างๆ ก็จะกลับเป็นปกติ

ยาเคมีบำบัด และยารักษาโรคพาร์กินสัน ยาเคมีบำบัดบางตัว เช่น Flutamide, Bicalutamide หรือ ยารักษาพากินสัน เช่น Bromocriptine, Levodopa, Trihexyphenidyl จะออกฤทธิ์ต้านกับฮอร์โมนเพศชาย และทำให้สมรรถภาพทางเพศลดลงได้ ด้วยเหตุผลเดียวกับยาลดการหลั่งกรด

ยาบรรเทาอาการปวดและอักเสบ ยาที่ใช้บรรเทาปวดและอักเสบในคนที่เป็นโรคข้อและกล้ามเนื้อ มีรายงานว่าทำให้เกิดการหลั่งผิดปกติในเพศชาย รวมทั้งลดความต้องการทางเพศและเกิดการหย่อนสมรรถภาพทางเพศได้ด้วยในบางคน ตัวอย่างยาที่มีรายงาน เช่น Indomethacin, Ibuprofen, Naproxen

ยาลดน้ำมูกแก้คัดจมูก ยาลดน้ำมูกและยาบรรเทาอาการคัดจมูกบางตัว จะทำให้หลอดเลือดแดงหดตัว แต่ยานั้นมิได้ออกฤทธิ์แค่ที่โพรงจมูกเท่านั้น ยังสามารถไปออกฤทธิ์กับหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงอวัยวะเพศด้วย หากใช้นานๆ ก็อาจทำให้เลือดไปเลี้ยงยังอวัยวะเพศลดลง เมื่อไม่มีเลือดไปคั่งบริเวณอวัยวะเพศแล้ว ในผู้ชายก็ไม่เกิดการแข็งตัว ส่วนผู้หญิงอารมณ์เพศก็จะลดลงไปด้วยเช่นกัน ยาในกลุ่มนี้ ได้แก่ Pseudoephredine, Diphenhydramine, Hydroxyzine, Phenylephrine

เมื่อสงสัยว่ายาเป็นสาเหตุให้เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ …จะทำอย่างไร?
คุณคงสงสัยว่าแล้วจะทำอย่างไรหากสงสัยว่ายาที่กำลังรับประทานทำให้เกิดภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ สิ่งที่ต้องทำอันดับแรกคือปรึกษาแพทย์ประจำตัวของคุณเกี่ยวกับอาการที่เกิดขึ้นเพื่อปรับเปลี่ยนแผนการรักษา ยาอาจเป็นสาเหตุของภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศที่เกิดขึ้นหรือไม่ก็ได้ อย่าเพิ่งโทษว่ายาเป็นสาเหตุจนกว่าจะได้ปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรก่อน และห้ามหยุดรับประทานยาที่คุณสงสัยว่าทำให้เกิดการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศโดยเด็ดขาด เพราะยานั้นอาจเป็นยาที่จำเป็นต่อการรักษาโรคของคุณหากขาดยาอาจทำให้มีอันตรายถึงชีวิตได้ และเมื่อทราบแน่ชัดว่ายาที่รับประทานไม่ใช่สาเหตุของการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์เฉพาะทางของระบบทางเดินปัสสาวะ(Urologist) ทั้งนี้เพื่อค้นหาสาเหตุว่าอะไรที่เป็นต้นตอของปัญหา และทำการรักษาต่อไป

ที่มาข้อมูล :นิตยสาร Health Today

************———————-****************


มีเซ็กส์ประมาท…คุณพลาดได้ง่าย
นพ. สุกมล วิภาวีพลกุล

เซ็กส์ก็เป็นความสุขเพียงชั่วประเดี๋ยว ความเสียวเพียงชั่วประด๋าว…สุขแป๊บเดียวเสียวชั่วคราว แต่อาจเศร้ายาวนาน และทุกข์ทรมานใจไปชั่วชีวิต
ธรรมชาติสร้างมนุษย์ โดยแบ่งเพศเป็นหญิงและชายก็เพื่อการขยายเผ่าพันธุ์ของมนุษย์…เพราะคนไม่ใช่สัตว์เซลล์เดียวที่จะขยายพันธุ์ด้วยการแบ่งเซลล์…จากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสี่

“กิจกรรมเข้าจังหวะ” ระหว่างสองเพศจึงเป็นไปเพื่อการสืบพันธุ์ แต่เมื่อลงมือปฏิบัติแล้วมันก่อให้เกิดความเหน็ดเหนื่อยและเสียเวลา ธรรมชาติรู้ใจมนุษย์ดีว่ามีนิสัย “รักสนุกและชอบสบาย”…จึงต้องเอาความสุขความเสียวเข้ามาใส่ในกิจกรรมนี้

ความสุขทางผิวหนัง…จึงถือเสมือนเป็นค่าจ้างแรงงานเพื่อให้มนุษย์ลงมือปฏิบัติ แล้วธรรมชาติก็ได้รับผลงานที่ต้องการ คือการสืบเผ่าพันธุ์ของมนุษย์

แต่คนเราอยากได้แต่ค่าจ้างเท่านั้น…ไม่อยากให้เกิดผลงาน บรรดานักวิชาการจึงร่วมมือวางแผนต่างๆนานาเพื่อให้ได้ค่าแรงอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยคุ้มค่ากับแรงที่เสียไป แล้วหักหลังหรือเอาชนะเหนือธรรมชาติ…ด้วยการคุมกำเนิดในรูปแบบต่างๆ การทำแท้ง รวมทั้งคิดค้นยารักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

ความรัก (love) และความใคร่ (sex) สัมพันธ์กันเหมือนวงกลมสองวงที่ซ้อนกันบางส่วน…เซ็กส์บางส่วนไม่มีความรักเข้าไปเกี่ยวข้อง ความรักบางส่วนก็ไม่เจือปนด้วยราคะ…ส่วนที่คาบเกี่ยวกัน คือความรักใคร่เสน่หาระหว่างคนสองคน (erotic love)

เซ็กส์เปรียบเสมือนไฟ ความรักเปรียบเสมือนสายน้ำ…ทั้งน้ำและไฟก็มีทั้งโทษและประโยชน์ในตัวมันเอง ขึ้นอยู่กับผู้ใช้…ความรักใคร่ก็เป็นดั่งน้ำร้อน มีประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิต แต่ก็ทำร้ายคนได้ถ้าไม่ระวัง

มนุษย์จึงต้องเรียนรู้ที่จะใช้ไฟ (ราคะ) ให้ก่อเกิดประโยชน์ รวมถึงการควบคุมเพื่อป้องกันมิให้ชีวิตต้องเร่าร้อนและเป็นทุกข์เพราะกามารมณ์

พวกเราทุกคนก็เห็นมาเยอะ…พลานุภาพของความเสียวที่ส่งผลเสียหายต่อชีวิต จากเซ็กส์ที่ไม่ขาดความยับยั้งชั่งใจ
ประธานาธิบดีบางประเทศสร้างคุณูประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติบ้านเมืองเยอะแยะ แต่ประวัติของเขาก็ต้องมีมลทินเพราะเซ็กส์ที่ผิดคน ผิดเวลา ผิดสถานที่ไอ้หนุ่มเมาเหล้า ปีนบ้านบุกปล้ำหญิงสาว…ถูกตำรวจจับได้ เลยเจอข้อหาบุกรุกเคหะสถานในยามวิกาล บวกทำอนาจารเพศตรงข้าม ผลสุดท้ายติดคุกเป็นปี…ทั้งนี้เพราะขาดสติผู้หญิงวัยสาวยอมมีเซ็กส์กับชายหนุ่มด้วยความไม่พร้อม แต่ต้องยอมเสียตัวเพราะกลัวเสียแฟน…หลังมีอะไรกันแล้ว ต้องมาทุกข์ใจว่าจะท้องหรือไม่ แล้วเขาจะเปลี่ยนใจหรือเปล่า ที่สุดต้องรับผิดชอบตัวเองอย่างเดียวดาย…เพราะฝ่ายชายถือว่า “GAME OVER” หลังมีเซ็กส์เด็กหนุ่มขึ้นครูครั้งแรก ขาดทักษะในการสวมถุงยาง หลังเสร็จสิ้นกิจกรรม…ตื่นเช้า ตระหนกกลัวเรื่องการติดเชื้อ HIV…ต้องทุกข์ใจไปอีกหลายเดือน กว่าจะตรวจรู้ว่าติดหรือไม่ติด…ความกังวลใจที่เกิดขึ้นทรมานไม่น้อยกว่าความเศร้าหมองของคนที่รู้ตัวว่าติดเชื้อแล้ว
หลากหลายตัวอย่างที่ยกมานี้ เป็นกรณีของความทุกข์หลังจากมีเซ็กส์ทั้งสิ้น ผลเสียอาจเป็นเรื่องภาวะทางกาย (ตั้งครรภ์ ติดเชื้อ) และสุขภาพจิต (กังวล ผิดบาป) เมื่อต้องแลกกับความสุขทางผิวหนังที่ได้รับแค่ไม่กี่นาที…อย่างนี้ต้องถามตัวเองว่า “คุ้มหรือไม่คุ้ม”

************———————-****************
ไวรัสหูดกับมะเร็งปากมดลูก

พญ.สมศรี ประยูรวิวัฒน์ อายุรแพทย์ แปลและเรียบเรียง
ไวรัสหูด หรือ Human papillomavirus (HPV) นอกจากชนิดความเสี่ยงต่ำ (low-risk HPV type) ที่เป็นสาเหตุของหูดชนิดต่างๆ ที่ผิวหนังและหูดหงอนไก่แล้ว ยังมี HPV ชนิดที่เป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกกว่า 10 ชนิด เป็นชนิดที่มีความเสี่ยงสูง (high-risk HPV type) หรือชนิดก่อมะเร็งแบบฝังแน่น (persistent oncogenic HPV infection) คือไวรัสชนิดที่มีศักยภาพในการก่อมะเร็งสูง เมื่อติดเชื้อแล้วมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดมะเร็งปากมดลูก
มะเร็งปากมดลูกเป็นเป็นมะเร็งที่พบมากที่สุดของผู้ป่วยมะเร็งในสตรีไทย และเมื่อตรวจชิ้นเนื้อมะเร็งปากมดลูก พบเชื้อ HPV (high-risk HPV type) ถึงกว่า 90% (99.7%) และชนิดที่พบบ่อยที่สุดคือ HPV16 รองลงมาคือ HPV18

การติดเชื้อ HPV ที่ปากมดลูก เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนที่มีเชื้อ HPV ซึ่งส่วนใหญ่ของคู่นอนเหล่านี้มีเชื้อ HPV ที่อวัยวะเพศโดยไม่แสดงอาการ มักตรวจพบเชื้อภายใน 1 เดือนหลังมีเพศสัมพันธ์ และประมาณ 75% ไม่แสดงอาการ

หากมีเชื้อจำนวนน้อยและเชื้ออยู่บริเวณเซลล์ชั้นผิว (superficial cell) ของปากมดลูกซึ่งเป็นเซลล์ที่ไม่มีการแบ่งตัวแล้ว ไวรัสจึงไม่สามารถเพิ่มจำนวนได้ และหลุดออกไปพร้อมเซลล์เหล่านี้เมื่อเซลล์หลุดลอกออกไปหรือตายไปตามธรรมชาติ นอกจากนั้นเชื้อที่มีจำนวนน้อยเหล่านี้ยังถูกเซลล์ของระบบภูมิคุ้มกันกำจัดออกไปได้ด้วย ผู้ที่ติดเชื้อประมาณ 90-95% จะหายได้เองภายใน 1 ปี

หากติดเชื้อชนิดวามเสี่ยงต่ำ (low-risk HPV type) เช่น HPV6 และ HPV11 ก็จะเป็นโรคหูดหงอนไก่บริเวณอวัยวะสืบพันธุ์หรือบริเวณทวารหนัก แต่ถ้ามีการติดเชื้อชนิดความเสี่ยงสูง (high-risk HPV type) ในปริมาณมาก โดยเฉพาะในผู้ที่ระบบภูมิคุ้มกันทำงานบกพร่อง เชื้อก็เจริญเติบโตได้ดี เกิดมะเร็งปากมดลูกได้ง่ายกว่าคนทั่วไป เราจึงพบมะเร็งปากมดลูกบ่อยในผู้ป่วยโรคเอดส์ ซึ่งมีภูมิคุ้มกันบกพร่อง

เชื้อไวรัสทำให้เซลล์ที่มันอาศัยเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นกลายเป็นเซลล์ที่ผิดปกติ สามารถตรวจพบด้วยวิธี Pap test แล้วจึงค่อยๆ เปลี่ยนแปลงจากเซลล์ที่ผิดปกติกลายเป็นมะเร็ง ซึ่งใช้เวลา 2-5 ปี หรืออาจนานถึง 10 ปี ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและภูมิคุ้มกันของแต่ละคน
ด้วยความรู้นี้จึงมีการพัฒนาวิธีตรวจเชื้อ HPV ขึ้นเพื่อเสริมการตรวจวินิจฉัยมะเร็งปากมดลูกวิธีดั้งเดิมเพื่อช่วยยืนยันการวินิจฉัย และพัฒนาวัคซีนเพื่อเสริมให้ร่างกายมีภูมิต้านทานไวรัส HPV เป็นการป้องกันมะเร็งปากมดลูกไปในตัว

มะเร็งปากมดลูก
มะเร็งปากมดลูกคือเนื้องอกชนิดร้ายแรงที่บริเวณปากมดลูก แต่เดิมเราไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด เชื่อว่าอาจเกิดจากสิ่งแวดล้อม สารเคมีบางชนิด หรือการขาดสารอาหารบางอย่าง ปัจจุบันพบว่าสาเหตุส่วนใหญ่ (กว่า 90 %) เกิดจากการติดเชื้อไวรัส HPV โดยที่ 70% ของมะเร็งปากมดลูกทั่วโลกเกิดจาก HPV16 และ HPV18 เป็นต้นเหตุ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 5 ปีหลังติดเชื้อจึงเกิดมะเร็งระยะก่อนลุกลาม และใช้เวลาอีกประมาณ 5-10 ปีจึงเกิดมะเร็ง

ผู้ที่มีความเสี่ยงสูง
สตรีที่มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย (น้อยกว่า 18 ปี)สตรีที่มีคู่นอนหลายคน (สำส่อนทางเพศ)สตรีที่สามีมีคู่นอนหลายคนสตรีที่เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (กามโรค) บ่อยครั้ง เช่น หูดหงอนไก่ เริมบริเวณอวัยวะเพศสตรีที่มีโรคเรื้อรัง ภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น โรคเอดส์สตรีที่สูบบุหรี่ หรือมีสามีสูบบุหรี่สตรีที่มีลูกหลายคนรับประทานยาคุมกำเนิดเป็นเวลานานอาการ ขึ้นอยู่กับระยะของโรค
ระยะก่อนลุกลามไม่แสดงอาการ แต่ตรวจพบความผิดปกติจากการตรวจภายในเพื่อคัดกรองมะเร็งปากมดลูก (Pap test) ตอนตรวจสุขภาพประจำปีเลือดออกกะปริบกะปรอยตกขาวมากผิดปกติหรือมีเลือดปน อาจมีเศษชิ้นเนื้อออกมาตกขาวเรื้อรัง ปวดท้องน้อยมีเลือดออกทางช่องคลอดหลังมีเพศสัมพันธ์เลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด เลือดออกกะปริบกะปรอยอุจจาระ หรือปัสสาวะเป็นเลือด ไอเป็นเลือด ต่อมน้ำเหลืองโต ไตวาย ฯลฯ (ในมะเร็งที่มีการแพร่กระจายไปอวัยวะอื่นแล้ว)การรักษา ขึ้นกับระยะลุกลามของโรค
ติดตามโดยการตรวจซ้ำบ่อยขึ้นในผู้ที่พบเซลล์ผิดปกติจี้ด้วยความเย็น ยิงด้วยแสงเลเซอร์ผ่าตัดปากมดลูกด้วยห่วงไฟฟ้า โดยใช้ลวดผ่านกระแสไฟฟ้าฝานเอาชิ้นเนื้อผิดปกติออกไป (loop electrical excision procedure ย่อว่า LEEP)ตัดคว้านปากมดลูกออกเป็นรูปกรวย (conization)ผ่าตัดเอามดลูก และปีกมดลูกออกทั้งหมดฉายรังสีเคมีบำบัดรักษาโรคแทรกซ้อนตามอาการการป้องกัน
ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงควรเริ่มตรวจภายในเพื่อคัดกรองโรค (Pap test) ตั้งแต่เริ่มมีเพศสัมพันธ์ ส่วนหญิงพรหมจารีควรเริ่มตรวจคัดกรองเมื่ออายุ 35 ปีขึ้นไป ควรตรวจภายในทุก 1-5 ปี ให้เหมาะสมตามความเสี่ยงของแต่ละคน สตรีที่เคยมีเพศสัมพันธ์ควรตรวจภายในเพื่อคัดกรองมะเร็งปากมดลูก (Pap test) ปีละครั้งไม่สำส่อนทางเพศไม่สูบบุหรี่ใช้ถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (กามโรค)ไปพบแพทย์ หากมีตกขาว หรือมีเลือดออกผิดปกติปัจจุบันมีการพัฒนาวัคซีนเพื่อป้องกันการติดเชื้อ HPV จนประสบความสำเร็จ ใช้ฉีดป้องกันเชื้อ HPV16 และ HPV18 ที่เป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกได้ นอกจากนี้ยังมีชนิดที่ครอบคลุมเชื้อ HPV6 และ HPV11 ที่เป็นสาเหตุของหูดหงอนไก่ได้ด้วย

ที่มาข้อมูล :นิตยสาร Health Today

************———————-****************
โรคเริม ภัยจากไวรัสที่กำราบได้

บริเวณแผลจะช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น ห้ามแกะสะเก็ดแผลเริม สวมใส่เสื้อผ้าที่ไม่คับแต่หลวมสบายอากาศถ่ายเทสะดวก การใส่ชุดชั้นในที่เป็นไนลอนจะทำให้อับชื้นง่าย พยายามซับและดูแลแผลให้แห้งตลอดเวลา อย่าใช้ผ้าเช็ดตัวร่วมกับผู้อื่น ถ้าปวดแผลให้ใช้ยาระงับปวดทั่วไป หากมีแผลบริเวณปากช่องคลอด จะปวดแสบแผลเวลาปัสสาวะได้ การนั่งแช่ก้นในน้ำอุ่นจะบรรเทาปวดแสบได้ผล
อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ถ้าไม่ระวัง
มารดาที่ติดเชื้อเริมอาจถ่ายทอดเชื้อเริมสู่ลูกในครรภ์ได้ แต่หากตรวจพบและรักษาเนิ่นๆ ก็จะหายดีได้ไม่ยาก และควรคลอดทารกด้วยวิธีผ่าตัดเท่านั้น เพื่อเลี่ยงการติดเชื้อบริเวณปากช่องคลอดเยื่อบุตาอักเสบจากเริม การติดเชื้อเริมอาจกระจายไปถึงบริเวณตาด้วยนิ้วที่เพิ่งสัมผัสถูกแผลเริม มันอาจกระจายไปตามเส้นประสาทบริเวณหน้าผ่านจากบริเวณปากไปถึงตา อาการที่อาจเกิดขึ้นได้แก่ อาการปวด มีหนองหรือน้ำตามากบริเวณเปลือกตา และตาแดง หากไม่ได้รับการรักษาจากจักษุแพทย์ทันท่วงที ก็อาจเกิดเป็นแผลเป็นของกระจกตาหรือถึงขนาดตาบอดได้ การใช้ยาต้านไวรัสรักษามักได้ผลดีการอักเสบของสมอง เยื่อหุ้มสมอง และไขสันหลังจากเริม ในรายที่ไม่ได้รับการรักษา หรือดูแลตัวเองไม่ดี มีโอกาสที่เชื้อจะกระจายได้ บางครั้งอาจลามไปถึงสมองได้ ภาวะสมองบวมจากการอักเสบอาจทำให้ปวดศีรษะอย่างรุนแรง อาจเป็นอัมพาต หรือถึงแก่ชีวิตได้ โชคยังดีที่ปัญหารุนแรงเช่นนี้เกิดขึ้นน้อยมาก โดยมักเป็นกับทารกหรือผู้ป่วยความเสี่ยงสูงซึ่งต้องรับยากดภูมิคุ้มกันมะเร็งปากมดลูก ปัจจุบันยังมีข้อสงสัยอยู่ว่าไวรัสเริมอาจสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งปากมดลูก แต่ปัจจัยต่อการเป็นมะเร็งปากมดลูกนั้นมีมากมาย ดังนั้นการที่ผู้หญิงคนหนึ่งเคยเป็นเริม ไม่ได้แปลว่าจะต้องเป็นมะเร็งปากมดลูก เพียงแต่ความเสี่ยงของมะเร็งปากมดลูกในคนที่เคยเป็นเริมจะสูงกว่าคนที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ความสำคัญจึงอยู่ที่การตรวจภายในเพื่อตรวจหามะเร็งปากมดลูกโดย Pap smear เป็นประจำทุกปี


************———————-****************
มี sex ขณะตั้งครรภ์ ควรหรือไม่?

ในชีวิตคู่และธรรมชาติของคนเราปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องของเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องสำคัญที่มนุษย์ถวิลหา และเมื่อถึงเวลาที่ภรรยาตั้งครรภ์มันเป็นช่วงเวลาแห่งความเปลี่ยนแปลง แต่จะทำอย่างไรดีเล่าในเมื่อความต้องการตามธรรมชาติยังคงมีอยู่…

ตลอด 9 เดือนที่ผู้หญิงท้อง ระหว่างนั้นเป็นช่วงที่สรีระร่างกายที่กำลังตั้งครรภ์มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากและรวดเร็ว ดังนั้น 9 เดือนที่ตั้งครรภ์ คู่ชีวิตมักมีคำถามมากมายตามมา…เช่นสมควรมีเพศสัมพันธ์กันได้หรือไม่ ถ้ามีได้สามารถมีได้ถึงอายุครรภ์เท่าไร การมีเพศสัมพันธ์จะทำให้ลูกเจ็บหรือไม่ มันยังจำเป็นไหมที่สามีจะต้องสวมถุงยางอนามัย มันเป็นเรื่องธรรมดาหรือไม่ที่ตั้งครรภ์แล้วทำให้ความสนใจทางเพศลดน้อยลงไป ????

จริงๆ แล้วไม่มีข้อบ่งชี้ว่าเมื่อตั้งครรภ์แล้วห้ามมีเพศสัมพันธ์ !!
คือยังสามารถมีได้จนกว่าคุณและคู้ของคุณจะรู้เองว่ายังไหวกันอยู่หรือไม่…
อย่างไรก็ตามคุณก็ควรรักษาทัศนคติที่ดีในการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยเอาไว้ก่อนแม้ว่าคุณจะตั้งครรภ์แล้ว เพราะถึงแม้วาการตั้งครรภ์แล้วการปฏิสนธิจะไม่เกิดอีก แต่คุณอาจติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ได้เพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพของตัวคุณเองและคู่ชีวิตและลูกของคุณเอง จงพึงระวังให้มาก


การตั้งครรภ์เป็นช่วงเวลาที่รูปร่างทางกายภาพของคุณเปลี่ยนไปพร้อมๆ กับอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงตามไปด้วยเพราะมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน คุณอาจรู้สึกเครียด สับสน ซึมเศร้า อาการเหล่านี้เป็นเรื่องปกติ เมื่อคุณเข้าใจแล้วควรจะเล่าให้คู่ของคุณเข้าใจด้วยว่าวันนี้คุณอารมณ์ไหน เพราะอะไร ทำให้เข้าใจกันมากขึ้น การที่คุณจะมีปฏิบัติการทางเพศอย่างเหมาะสม
ซึ่งก็มีข้อแนะนำที่เป็นประโยชน์และสำคัญต่อสุขภาพครรภ์ของคุณมาบอกกัน หากว่าคุณจะมีเพศสัมพันธ์
จำไว้เลยว่าความปรารถนาทางเพศของคุณ รวมทั้งคู่ของคุณอาจเปลี่ยนไประหว่างที่คุณตั้งครรภ์ ด้วยจาก รูปร่าง อารมณ์ ความสะดวกของท่าทางต่างๆ ดังนั้นจึงควรศึกษาความคาดหวังซึ่งกันและกันในเรื่องนี้กันให้ดีก่อน เพื่อจะได้ไม่มีปัญหาขณะปฏิบัติการอย่าฝืนใจตัวเอง แต่ควรบอกสามีคุณดีๆ ถ้าคุณรู้สึกว่าคุณไม่ต้องการหรือไม่มีอารมณ์ โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ ที่คุณอาจมีอาการแพ้ท้องคลื่นไส้ อาเจียนและอ่อนเพลีย และความต้องการทางเพศลดลง แต่ผู้หญิงบางคนก็จะมีความต้องการทางเพศเพิ่มมากขึ้นเมื่อเข้าสู่ช่วงที่ 2 ของระยะตั้งครรภ์ช่วงประมาณเดือนที่ 4-6 ซึ่งจะทำให้รู้สึกดีขึ้นเพราะอาการแพ้ท้องจะลดลง อาจเป็นช่วงที่ดีของบางคนเพราะมีน้ำหล่อลื่นในช่องคลอดมากขึ้น และไวต่อความรู้สึกมากขึ้น แต่ด้วยสรีระร่างกายที่เปลี่ยนไปความใหญ่โตของครรภ์อาจจะเป็นอุปสรรคของการปฏิบัติการพอสมควรนับจากระยะนี้หากว่าคุณยังมีความสามารถที่จะมีเพศสัมพันธ์ได้ ก็อาจจะต้องมีการปรับท่าทางบ้าง เพราะนอกจากครรภ์ที่ใหญ่ขึ้นแล้ว เต้านมของคุณก็อาจจะไวต่อความรู้สึก เจ็บปวดคัดตึงมากขึ้นกว่าปกติเมื่อถูกสัมผัส โดยเฉพาะในช่วงครรภ์ 3 เดือนแรก และแน่นอนที่สุดคุณต้องบอกเรื่องนี้ให้กับสามีของคุณทราบด้วยเป็นการดีที่คุณและสามีจะปรึกษากับแพทย์ถึงเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งแพทย์จะมีคำแนะนำดีๆ ให้คุณปฏิบัติตันและพึงระวัง เพราะบางสภาพอาการของหญิงตั้งครรภ์ไม่เหมาะที่จะมีเพศสัมพันธ์ แต่ควรระวังดูแลครรภ์ให้แข็งแรงปลอดภัยมากกว่า อาการต่างๆ ที่ควรเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ขณะตั้งครรภ์ ได้แก่

- มีเนื้องอกมดลูก
- เคยมีประวัติการเจ็บท้องคลอดก่อนกำหนด
- มีเลือดออกจากช่องคลอดโดยไม่ทราบสาเหตุ
- ถุงน้ำคร่ำแตก
- รกขวางหรือค้ำอยู่เหนือคอมดลูก
- เคยแท้งบุตร(โดยธรรมชาติ)มาก่อน
- มีสัญญาณอันตรายเตือนว่ามีโอกาสแท้งบุตร

เพราะความผิดปกติของระบบภายในของคุณเมื่อมีเพสสัมพันธ์อาจทำให้มดลูกบีบตัวอย่างแรงจนทำให้แท้ได้สิ่งที่เป็นข้อห้ามระหว่างที่คุณตั้งครรภ์ เพื่อความปลอดภัยของทารกในครรภ์ คือ ห้ามใช้อุปกรณ์ใดๆ ที่แปลกปลอม โดยเฉพาะที่สั่นได้เข้าสอดเข้าไปในช่องคลอด เพราะมันอาจจะไปกระทบกระเทือนทำความเสียหายกับถุงน้ำคร่ำที่ห่อหุ้มทารกไว้จนได้รับอันตรายได้อย่าลืมว่าการบอกความรู้สึกซึ่งกันและกันของคุณสองคนขณะมีปฏิบัติการก็เป็นเรื่องพึงกระทำเพื่อให้ได้รู้จังหวะ ไปด้วยกันอย่างสวยงามที่แน่ๆ อย่ามองข้ามหรือละเลย “มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยต้องปกป้องทุกครั้ง” เพราะมีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อีกหลายชนิดที่ไม่รีรอขอเกาะอาศัยและขยายเผ่าพันธุ์ทันทีที่คุณเผลอ หรือลืมป้องกัน เช่น โรคเริม ซิฟิลิส เอดส์ โกโนเรีย ไวรัสตับอักเสบบี เป็นต้น หรือแม้ว่าคุณหรือคู่ของคุณมีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อยู่เดิมคุณก็จำเป็นต้องรีบรักษาให้หายขาดเท่าที่จะทำได้ ทั้งนี้ทั้งนั้น นอกจากความสุขสุขภาพดีของของคุณสองคนแล้ว ความปลอดภัยของทารกในครรภ์คือสิ่งที่คุณต้องคำนึงถึงเหนือสิ่งอื่นใด
หากว่าคุณเรียนรู้ให้ถ่องแท้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์ดังกล่าวแล้ว พร้อมใจหันหน้าปรึกษาและพูดคุยกันถึงเงื่อนไขข้อจำกัดต่างๆ ก่อนมีเพศสัมพันธ์ การร่วมกันปรับเปลี่ยนหาเทคนิค ท่าทางต่างๆ ที่เหมาะสม ทะนุถนอมระมัดระวังเป็นพิเศษ ก็น่าจะทำให้คุณยังสามารถมีเพศสัมพันธ์ขณะตั้งครรภ์ได้อย่างมีความสุข ปลอดภัยต่อทารกในครรภ์ คู่สามีภรรยาได้ใกล้ชิดเข้าใจกันมากขึ้นอีกด้วย

ที่มาข้อมูล :นิตยสาร Health Today

************———————-****************
ความบกพร่องทางเพศในสตรี

ผู้หญิงกับผู้ชายเกิดขึ้นมาคู่กันในโลกนี้ ปัญหาทางเพศสัมพันธ์ก็เฉกเช่นเดียวกัน ปัญหาทางเพศจึงใช่ว่าจะพบมากในบุรุษเพศเท่านั้น แต่สตรีคู่ชีวิตก็อาจประสบปัญหาได้ไม่น้อยไปกว่าผู้ชาย …แต่กลับได้รับการพูดถึงน้อยมาก ทั้งๆ ที่ไม่ว่าปัญหาจะเกิดขึ้นกับฝ่ายใดก็สามารถโยงใยเป็นปัญหาใหญ่ให้ครอบครัวล้มเหลวได้เท่าเทียมกัน

ปัญหา ความบกพร่องทางเพศในสตรี (Female Sexual Disorders หรือ FSD) คือ ภาวะที่สตรีไม่สามารถมีความสุขจากเพศสัมพันธ์ได้เหมือนปกติ ส่วนใหญ่แล้วสาเหตุปัจจัยที่สำคัญของปัญหา FSD นี้มักเกิดจากปัญหาทางจิตใจ ความเครียดจากปัญหารอบตัวตลอดจนความวิตกกังวลในเรื่องต่างๆเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลกระทบต่อความสุขทางเพศ
สตรีชาวเอเชียในหลายประเทศมักมีปัญหาในการแสดงออกเกี่ยวกับเรื่องทางเพศ ในหลายๆ ประเทศถือเป็นธรรมเนียมว่าการแสดงออกเกี่ยวกับเรื่องทางเพศเป็นเรื่องของผู้ชายเท่านั้น รวมทั้งปัญหาทางศาสนาในหลายประเทศจะห้ามผู้หญิงแสดงออกเกี่ยวกับเรื่องเพศโดยสิ้นเชิง ผู้หญิงบางคนไม่สามารถจะปรับความเข้าใจกับสามีได้เลย และอีกหลายๆ คนไม่สามารถทำให้ทั้งสามีและตัวเองมีความพึงพอใจจากเพศสัมพันธ์ได้เลย ปัญฆาใหญ่คือสตรีส่วนใหญ่มักไม่กล้าที่จะเปิดอกคุยกับสามีหรือแม้แต่จะปรึกษาแพทย์ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นด้วย ทำให้ปัญหานี้ยิ่งวนเวียนซ้ำเติมจนดูเหมือนไม่มีทางออกเลย

หากคุณสงสัยว่าตัวเองอาจมีปัญหา FSD แล้ว จงอย่าทนทุกข์อยู่คนเดียว พึงระลึกไว้ว่าปัญหานี้มีทางแก้ไขได้ ลองคุยกับคนใกล้ชิดเช่น สามี เพื่อนสนิท หรือหมอประจำตัวของคุณ
หากตัดสินใจว่าจะปรึกษากับหมอสูติ-นรีเวช คุณควรเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับประวัติส่วนตัว ลักษณะการดำเนินชีวิต ประวัติทางเพศ รวมถึงทัศนคติและประสบการณ์ของคุณเกี่ยวกับเรื่องทางเพศ ซึ่งอาจต้องตรวจร่างกายอย่างละเอียดด้วย

ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยในการวินิจฉัยถึงสิ่งที่เป็นสาเหตุของปัญหาของคุณ รวมทั้งเป็นการประเมินสุขภาพของคุณซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญมากต่อการตอบสนองทางเพศด้วย บางครั้งหมออาจส่งคุณไปปรึกษากับจิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญปัญหาทางเพศโดยเฉพาะ ซึ่งจะมีข้อแนะนำวิธีการต่างๆ ที่ช่วยแก้ไขปัญหาของคุณกับสามีได้

บางครั้งการแสดงออกเล็กน้อยบางอย่าง เช่น การโอบกอด การจับมือ หรือการหอมแก้ม ก็เป็นส่วนสำคัญที่อาจช่วยนำไปสู่การมีเพศสัมพันธ์ที่มีความสุขได้ และอย่าลืมว่าสามีของคุณมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการแก้ไขปัญหาของคุณ

ความบกพร่องทางเพศในสตรีมีหลายแบบ
ความบกพร่องต่อการเร้าอารมณ์เพศ (Female Sexual Arousal Disorder หรือ FSAD)
ผู้หญิงบางคนอาจจะไม่มีอารมณ์สนองตอบต่อการเร้าอารมณ์ จึงทำให้เพศสัมพันธ์ไม่ราบรื่น บางคนเคยมีประสบการณ์และความทรงจำทางเพศที่ไม่ดีมาก่อน แม้เวลาจะผ่านไป จนพบคู่ชีวิตใหม่ที่ให้ความทะนุถนอมและพยายามอย่างดีแล้วก็ตามแต่ก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จ ฝ่ายหญิงก็ยังไม่มีความสุขและตอบสนองต่อการเร้าอยู่นั่นเอง

การเปลี่ยนแปลงตามปกติเมื่อมีการกระตุ้นอารมณ์เพศนั้น บริเวณอวัยวะเพศจะมีเลือดมาเลี้ยงและคั่งอยู่มากขึ้น ต่อมต่างๆ ในช่องคลอดจะหลั่งสารหล่อลื่นออกมาเพิ่มขึ้น และกล้ามเนื้อของผนังช่องคลอดจะคลายตัว หากคุณรู้สึกว่าในช่องคลอดคุณมีสารหล่อลื่นออกมาไม่เพียงพอจนคุณรู้สึกเจ็บเวลามีเพศสัมพันธ์อยู่เสมอ หรือหากการขยายตัวของคลิตอริสและการคลายตัวของช่องคลอดมีไม่มากพอแม้ว่าจะมีการเล้าโลม (foreplay) นานพอแล้วก็ตาม

คุณก็อาจมีปัญหาความบกพร่องต่อการเร้าอารมณ์เพศ หรือ FSAD ได้ ในทางการแพทย์นั้น การที่ผู้หญิงคนใดไม่สามารถมีความสุขสุดยอดหรือ orgasm ได้ มักเกิดจากปัญหาทางจิตใจ เช่น ความทรงจำในอดีตที่ไม่ดี ความกลัวการถูกลงโทษจากพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ความกลัวที่จะถูกครอบงำโดยฝ่ายชาย กลัวการตั้งครรภ์ ความเกลียดชังผู้ชาย สัมพันธภาพที่ไม่ราบรื่น หรือความรู้สึกเบี่ยงเบนทางเพศ เช่น แนวโน้มชอบเพศเดียวกัน (Homosexual) ที่ซุกซ่อนอยู่ เป็นต้น

หากคุณสงสัยว่าตัวคุณเองอาจมีปัญหา FSAD ให้ลองพยายามนึกดูว่าการไม่มีอารมณ์เพศเกิดขึ้นเฉพาะกับสามีหรือไม่ เกิดเฉพาะในภาวะการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งหรือไม่ หรือคุณยังไม่เคยมีอารมณ์เพศเลยในชีวิต แพทย์ผู้รักษาอาจแนะนำวิธีการต่างๆ ให้คุณค่อยๆเรียนรู้และเข้าใจไปทีละขั้นด้วยตัวคุณเอง จนคุณสามารถเกิดความรู้สึกและมีความสุขทางเพศได้ จากนั้นเมื่อสามีคุณเข้ามามีส่วนร่วมในการรักษา ก็จะช่วยให้ค่อยๆ พัฒนาไปจนคุณสามารถมีเพศสัมพันธ์และถึงจุดสุดยอดได้เหมือนปกติ

นอกจากนี้แพทย์อาจพิจารณาใช้ยาฮอร์โมนหรือวิธีรักษาแบบอื่นเข้ามาเสริมด้วยก็ได้ เช่นเมื่อเร็วๆนี้ องค์การอาหารและยาของประเทศสหรัฐอเมริกาได้อนุญาตให้จำหน่าย “เครื่องกระตุ้นปุ่มคลิตอริส” ซึ่งทำงานโดยทำให้เกิดแรงดูดเบาๆ รอบคลิตอริสและเนื้อเยื่อรอบๆ เพื่อกระตุ้นให้มีเลือดมาหล่อเลี้ยงและมีสารหล่อลื่นออกมามากขึ้น ทำให้มีอารมณ์เพศเพิ่มขึ้นด้วย

หากปัญหาของคุณเกิดขึ้นเฉพาะในบางครั้ง คุณหมอก็จะพยายามตรวจหาและให้การรักษาปัญหาที่อาจซุกซ่อนอยู่ เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ความเครียดหรือความอ่อนล้ามากไป เป็นต้น


************———————-****************
ซิฟิลิส (Syphilis)

ซิฟิลิสเป็นโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ที่มีอันตรายเนื่องจากมีอาการเรื้อรัง มีระยะติดต่อยาวนานกว่า 2 ปี สามารถทำให้เกิดโรคแก่ระบบต่าง ๆของร่างกายได้หลายระบบ อาจมีอาการแสดงที่ชัดเจนหรืออาจอยู่ในระยะสงบได้เป็นระยะเวลานาน นอกจากติดต่อทางเพศสัมพันธ์แล้วยังสามารถติดต่อจากมารดาไปยังทารกได้ (congenital syphilis)เชื้อสาเหตุ
เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ชื่อ Treponema pallidum
ระยะฟักตัว
9 - 90 วัน
ลักษณะทางคลินิก ซิฟิลิสแบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ
ซิฟิลิสระยะแรก (early syphilis)ซิฟิลิสระยะหลัง (late syphilis)1. ซิฟิลิสระยะแรก (early syphilis) มีการดำเนินของโรคดังนี้
1.1 ซิฟิลิสระยะที่ 1 (primary syphilis) ระยะฟักตัว 9 - 90 วัน เชื้อเข้าทางเยื่อบุ รอยถลอกหรือรอยฉีกขาดที่ผิวหนัง จะมีแผลเกิดขึ้นที่บริเวณเชื้อเข้าไป เช่น อวัยวะเพศ ริมฝีปาก นิ้วมือ ลิ้นหัวนม ทวารหนัก เป็นต้น ในระยะแรกรอยโรคเป็นตุ่มเล็ก ๆ ต่อมาแตกเป็นแผลซึ่งค่อย ๆใหญ่ขึ้นมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 1–2 ซม. มักเป็นแผลเดียว ก้นแผลสะอาด มีน้ำเหลืองเยิ้ม ขอบแผลนูนแข็ง บางคนเรียก “โรคแผลริมแข็ง” จะไม่เจ็บนอกจากมีเชื้อโรคอื่นมาแทรกทำให้แผลอักเสบ และเจ็บปวดได้ ที่แผลจะมีตัวเชื้อโรคอยู่จึงติดต่อกันได้ง่าย มักพบแผลบริเวณอวัยวะเพศซึ่งทำให้เกิดการอักเสบของต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบได้ (inguinal lymph node) ซึ่งต่อมน้ำเหลืองที่บวมโตนี้มีลักษณะแข็งคล้ายยางและกดไม่เจ็บ แผลซิฟิลิสมีคุณสมบัติพิเศษ คือ สามารถหายเองได้ภายในเวลา 3 – 8 สัปดาห์ แม้จะรักษาไม่ถูกต้องหรือไม่รักษาก็ตาม แต่ไม่ได้หมายความว่าโรคจะหายไปด้วย โรคจะลุกลามต่อไปเข้าสู่ระยะที่ 2

1.2 ซิฟิลิสระยะที่ 2 (secondary syphilis) มักจะเกิดหลังจากที่เป็นแผลซิฟิลิสระยะที่ 1ประมาณ 6 – 8 สัปดาห์ แต่บางรายอาจจะนานเป็นเวลาหลายเดือนก็ได้ ระยะที่ 2 เป็นระยะที่เชื้อกระจายไปตามกระแสเลือดทำให้เกิดอาการแสดงได้หลายอย่าง โดยทั่วไป ผู้ป่วยมักมีไข้ ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อหรือกระดูก ต่อมน้ำเหลืองโต(cervical, epitroclear, inguinal) ร่วมกับการตรวจเลือดด้วย VDRL/RPR จะได้ผล reactive และมีอาการแสดงทางผิวหนัง หรือเยื่อบุที่พบได้จากการตรวจร่างกาย คือ
ผื่น (skin rash) เป็นลักษณะที่พบได้บ่อยที่สุด ลักษณะผื่นที่พบมีหลายแบบเช่น ผื่นราบ(macule) ผื่นนูน(papule) ตุ่มหนอง(pustule) หรือผื่นนูนมีสะเก็ด(papulosquamous) ที่พบบ่อยคือ แบบ maculopapular และแบบ papulosquamous มักพบผื่นที่ฝ่ามือ และฝ่าเท้า รอยโรคที่เกิดขึ้นบริเวณผิวหนังที่อับชื้น (condyloma lata) เช่น บริเวณรอบ อวัยวะเพศ หรือทวารหนัก เป็นต้น รอยโรคที่พบบริเวณเยื่อบุในช่องปาก (mucous patch) หรือบริเวณอวัยวะเพศ มีลักษณะเป็นแผลตื้น ๆ โดยมีเยื่อสีขาวเทาคลุมอยู่ ผมร่วง (alopecia) ลักษณะที่พบบ่อยคือ ร่วงเป็นหย่อม ๆ (moth-eaten alopecia) แต่อาจพบเป็นแบบอื่น ๆได้ เช่น ร่วงแบบกระจาย (diffuse alopecia)ผื่นซิฟิลิสระยะที่ 2 อาจค่อย ๆหายไปเองแม้ไม่รักษา หรือรักษาไม่ถูกวิธี แต่ไม่ได้หมายความว่าโรคทุเลาหรือหายขาด โรคจะลุกลามต่อไปสู่ระยะสงบ ซึ่งเรียกว่า ซิฟิลิสระยะแฝง
1.3 ซิฟิลิสระยะแฝง (latent syphilis) การตรวจร่างกายทั่วไปรวมทั้งระบบหัวใจหลอดเลือดและระบบประสาท พบว่าปกติ แต่ผลการตรวจเลือดด้วยวิธี VDRL หรือ RPR และยืนยันด้วยวิธี TPHA หรือ FTA-ABS ให้ผล reactive แบ่งเป็น 2 ระยะ คือ early latent syphilis คือ ติดเชื้อภายใน 2 ปี และ late latent syphilis ติดเชื้อเกิน 2 ปี หรือไม่ทราบระยะเวลาติดเชื้อที่แน่นอน หากติดเชื้อเป็นเวลานานมาก ๆ อาจพบVDRL เป็น non reactive แต่ TPHA หรือ FTA-ABS ให้ผล reactive ตามเดิม
2. ซิฟิลิสระยะหลัง (late syphilis) หลังจากโรคสงบอยู่ในระยะแฝงนานเป็นปีๆ ประมาณ 1ใน 3 ของผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการรักษาจะแสดงอาการของโรคในระยะท้ายคือ ซิฟิลิสระยะหลัง ในปัจจุบันพบผู้ป่วยระยะนี้น้อยเนื่องจากการรักษาแต่ต้น สามารถหยุดการดำเนินโรคได้ อาการที่พบบ่อยในซิฟิลิสระยะหลัง แบ่งเป็น
2.1 ซิฟิลิสกลุ่มกัมม่า (benign late syphilis) รอยโรคนี้เรียกว่า gumma เกิดจากการที่มี tissue necrosis และ granuloma พบได้ที่ผิวหนัง เยื่อบุกระดูก หรืออวัยวะภายใน

2.2 ซิฟิลิสของระบบการไหลเวียนโลหิต (cardiovascular syphilis) เชื้อโรคเข้าทำลายหัวใจและหลอดโลหิตใหญ่ (aorta) ตลอดมาอย่างช้าๆจะปรากฏอาการเส้นโลหิตใหญ่โป่งพอง ลิ้นหัวใจรั่ว ทำให้การทำงานของหัวใจเสื่อม หรือล้มเหลวได้ในที่สุด

2.3 ซิฟิลิสระบบประสาท (neurosyphilis) เชื้อซิฟิลิสทำลายระบบประสาททีละน้อย ๆเป็นเวลานาน ทำให้มีอาการปวดตามแขนขา เดินผิดปกติ ขาลาก ข้อเข่าเสื่อม สมองอักเสบ สมองเสื่อมหรือเป็นบ้าได้ หรืออาจเป็นชนิดไม่มีอาการ (asymptomatic neurosyphilis) ซึ่งวินิจฉัยได้โดยการตรวจน้ำไขสันหลังแล้วพบมีการเพิ่มของจำนวนเซลล์ และการเพิ่มปริมาณของโปรตีน หรือผลการตรวจ VDRL หรือ FTA-ABS หรือ TPHA ของน้ำไขสันหลังให้ผล reactiveในรายที่มีอาการ อาการทางระบบประสาทที่พบบ่อย คือ meningovascular syphilis, tabes dorsalis และ general paralysis of insane (GPI) อย่างไรก็ตาม การวินิจฉัยซิฟิลิสระบบประสาทต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญทางประสาทวิทยา
ซิฟิลิสแต่กำเนิด (congenital syphilis)
ซิฟิลิสในหญิงตั้งครรภ์มีลักษณะเช่นเดียวกับผู้ป่วยทั่วไปทั้งด้านลักษณะทางคลินิก การดำเนินโรค ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ปัญหาที่สำคัญคือ โรคนี้สามารถติดต่อจากมารดาไปสู่ทารกในครรภ์ได้ เนื่องจากเชื้อในกระแสเลือดของมารดาสามารถผ่านรกไปตามสายสะดือเข้าไปในตัวทารกได้ มารดาที่เป็นโรคซิฟิลิส และมีผล VDRL reactive ทารกก็จะมีผล VDRL reactive ด้วย การตั้งครรภ์นั้นอาจดำเนินต่อไปไม่ครบกำหนดคลอด อาจแท้งหรือคลอดก่อนกำหนด หรือทารกตายคลอด ถ้าการตั้งครรภ์นั้นสามารถดำเนินต่อไปจนถึงครบกำหนดคลอด ทารกที่เกิดมาจะมีอาการของซิฟิลิสแต่กำเนิดปรากฏอยู่ด้วย อัตราการติดเชื้อของทารกในครรภ์ขึ้นอยู่กับจำนวนเชื้อในกระแสเลือดของมารดา ถ้ามารดาเป็นโรคในระยะที่มีเชื้อจำนวนมาก เช่นซิฟิลิสระยะที่ 2ทารกมีโอกาสติดเชื้อสูง ถ้าเป็นโรคระยะท้าย ๆ เช่น ซิฟิลิสระยะแฝง เกิน 2 ปี อัตราการติดเชื้อของทารกลดลงเหลือเพียงร้อยละ 30 เท่านั้น อาการและอาการแสดงของซิฟิลิสแต่กำเนิดแบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ
ซิฟิลิสแต่กำเนิดระยะแรก (early congenital syphilis) พบตั้งแต่แรกคลอดจนถึงระยะ 1 ปี มักมีอาการ คลอดก่อนกำหนด น้ำหนักแรกคลอดน้อย ตับโต ม้ามโต ผิวหนังที่ฝ่ามือฝ่าเท้าพอง และลอก ในกรณีที่เด็กโตขึ้นจนถึง 2 – 3 เดือน จะพบลักษณะเฉพาะ คือ ดีซ่าน (prolonged jaundice) ผื่นขึ้นตามตัวคล้ายซิฟิลิสระยะที่ 2 ในผู้ใหญ่ บางรายมีอาการคล้ายเป็นอัมพาต ไม่ขยับแขน หรือขา (pseudo paralysis) เกิดจาก osteochondritis หรือมี epiphyseal separation นอกจากนี้ยังพบว่า เด็กเลี้ยงไม่โต น้ำหนักไม่เพิ่มตามอายุ ตัวบวมจากโรคไต (nephrotic syndrome) ผิวหนังรอบปาก และจมูกแตกเป็นรอยแผลตื้น ๆ มีเลือด และน้ำเหลืองออกทางเยื่อบุจมูก เมื่อแผลหายแล้วจะเกิดรอยแผลเป็นรอบ ๆปากเรียกว่า rhagades เมื่อเวลาผ่านไปจะปรากฏอาการของซิฟิลิสแต่กำเนิดระยะหลัง ซิฟิลิสแต่กำเนิดระยะหลัง (late congenital syphilis) พบในเด็กอายุมากกว่า 2 ปี มีพยาธิสภาพตรงกับซิฟิลิสระยะหลังในผู้ใหญ่ ลักษณะที่สำคัญคือ แก้วตาอักเสบ (interstitial keratitis) อาจตาบอดได้ ฟันหน้ามีรอยแหว่งเว้าคล้ายจอบบิ่น (Hutchinson’s teeth) มีแผลเป็นคล้ายรอยย่นที่มุมปาก เส้นประสาทฝ่อทำให้หูหนวกได้ สมองเสื่อมเพราะเชื้อเข้าทำลายระบบประสาท นอกจากนั้น ยังอาจพบความผิดปกติของกระดูกได้ เช่น ดั้งจมูกยุบ เพดานปากโหว่ หน้าผากงอก กระดูกหน้าแข้งโค้ง ผู้ป่วยประมาณ 1 ใน 3 เป็นซิฟิลิสระบบประสาทด้วย เด็กที่เป็นซิฟิลิสแต่กำเนิด อาจมีชีวิตอยู่จนเติบโตเป็นผู้ใหญ่โดยไม่มีอาการผิดปกติแลย หรืออาจมีร่องรอยของซิฟิลิสแต่กำเนิดปรากฏให้เห็นมีอยู่จำนวนมากที่เด็กเป็นซิฟิลิสแต่กำเนิดตายเสียแต่ยังเด็ก ๆเพราะสุขภาพอนามัยไม่สมบูรณ์ที่มาของเนื้อหา คลีนิครัก

************———————-****************
ไวรัสหูดกับมะเร็งปากมดลูก

ไวรัสหูด หรือ Human papillomavirus (HPV) นอกจากชนิดความเสี่ยงต่ำ (low-risk HPV type) ที่เป็นสาเหตุของหูดชนิดต่างๆ ที่ผิวหนังและหูดหงอนไก่แล้ว ยังมี HPV ชนิดที่เป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกกว่า 10 ชนิด เป็นชนิดที่มีความเสี่ยงสูง (high-risk HPV type) หรือชนิดก่อมะเร็งแบบฝังแน่น (persistent oncogenic HPV infection) คือไวรัสชนิดที่มีศักยภาพในการก่อมะเร็งสูง เมื่อติดเชื้อแล้วมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดมะเร็งปากมดลูก
มะเร็งปากมดลูกเป็นเป็นมะเร็งที่พบมากที่สุดของผู้ป่วยมะเร็งในสตรีไทย และเมื่อตรวจชิ้นเนื้อมะเร็งปากมดลูก พบเชื้อ HPV (high-risk HPV type) ถึงกว่า 90% (99.7%) และชนิดที่พบบ่อยที่สุดคือ HPV16 รองลงมาคือ HPV18

การติดเชื้อ HPV ที่ปากมดลูก เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนที่มีเชื้อ HPV ซึ่งส่วนใหญ่ของคู่นอนเหล่านี้มีเชื้อ HPV ที่อวัยวะเพศโดยไม่แสดงอาการ มักตรวจพบเชื้อภายใน 1 เดือนหลังมีเพศสัมพันธ์ และประมาณ 75% ไม่แสดงอาการ
หากมีเชื้อจำนวนน้อยและเชื้ออยู่บริเวณเซลล์ชั้นผิว (superficial cell) ของปากมดลูกซึ่งเป็นเซลล์ที่ไม่มีการแบ่งตัวแล้ว ไวรัสจึงไม่สามารถเพิ่มจำนวนได้ และหลุดออกไปพร้อมเซลล์เหล่านี้เมื่อเซลล์หลุดลอกออกไปหรือตายไปตามธรรมชาติ นอกจากนั้นเชื้อที่มีจำนวนน้อยเหล่านี้ยังถูกเซลล์ของระบบภูมิคุ้มกันกำจัดออกไปได้ด้วย ผู้ที่ติดเชื้อประมาณ 90-95% จะหายได้เองภายใน 1 ปี

หากติดเชื้อชนิดวามเสี่ยงต่ำ (low-risk HPV type) เช่น HPV6 และ HPV11 ก็จะเป็นโรคหูดหงอนไก่บริเวณอวัยวะสืบพันธุ์หรือบริเวณทวารหนัก แต่ถ้ามีการติดเชื้อชนิดความเสี่ยงสูง (high-risk HPV type) ในปริมาณมาก โดยเฉพาะในผู้ที่ระบบภูมิคุ้มกันทำงานบกพร่อง เชื้อก็เจริญเติบโตได้ดี เกิดมะเร็งปากมดลูกได้ง่ายกว่าคนทั่วไป เราจึงพบมะเร็งปากมดลูกบ่อยในผู้ป่วยโรคเอดส์ ซึ่งมีภูมิคุ้มกันบกพร่อง

เชื้อไวรัสทำให้เซลล์ที่มันอาศัยเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นกลายเป็นเซลล์ที่ผิดปกติ สามารถตรวจพบด้วยวิธี Pap test แล้วจึงค่อยๆ เปลี่ยนแปลงจากเซลล์ที่ผิดปกติกลายเป็นมะเร็ง ซึ่งใช้เวลา 2-5 ปี หรืออาจนานถึง 10 ปี ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและภูมิคุ้มกันของแต่ละคน
ด้วยความรู้นี้จึงมีการพัฒนาวิธีตรวจเชื้อ HPV ขึ้นเพื่อเสริมการตรวจวินิจฉัยมะเร็งปากมดลูกวิธีดั้งเดิมเพื่อช่วยยืนยันการวินิจฉัย และพัฒนาวัคซีนเพื่อเสริมให้ร่างกายมีภูมิต้านทานไวรัส HPV เป็นการป้องกันมะเร็งปากมดลูกไปในตัว

มะเร็งปากมดลูก
มะเร็งปากมดลูกคือเนื้องอกชนิดร้ายแรงที่บริเวณปากมดลูก แต่เดิมเราไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด เชื่อว่าอาจเกิดจากสิ่งแวดล้อม สารเคมีบางชนิด หรือการขาดสารอาหารบางอย่าง ปัจจุบันพบว่าสาเหตุส่วนใหญ่ (กว่า 90 %) เกิดจากการติดเชื้อไวรัส HPV โดยที่ 70% ของมะเร็งปากมดลูกทั่วโลกเกิดจาก HPV16 และ HPV18 เป็นต้นเหตุ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 5 ปีหลังติดเชื้อจึงเกิดมะเร็งระยะก่อนลุกลาม และใช้เวลาอีกประมาณ 5-10 ปีจึงเกิดมะเร็ง

ผู้ที่มีความเสี่ยงสูง
สตรีที่มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย (น้อยกว่า 18 ปี)สตรีที่มีคู่นอนหลายคน (สำส่อนทางเพศ)สตรีที่สามีมีคู่นอนหลายคนสตรีที่เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (กามโรค) บ่อยครั้ง เช่น หูดหงอนไก่ เริมบริเวณอวัยวะเพศสตรีที่มีโรคเรื้อรัง ภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น โรคเอดส์สตรีที่สูบบุหรี่ หรือมีสามีสูบบุหรี่สตรีที่มีลูกหลายคนรับประทานยาคุมกำเนิดเป็นเวลานาน อาการ ขึ้นอยู่กับระยะของโรค
ระยะก่อนลุกลามไม่แสดงอาการ แต่ตรวจพบความผิดปกติจากการตรวจภายในเพื่อคัดกรองมะเร็งปากมดลูก (Pap test) ตอนตรวจสุขภาพประจำปีเลือดออกกะปริบกะปรอยตกขาวมากผิดปกติหรือมีเลือดปน อาจมีเศษชิ้นเนื้อออกมาตกขาวเรื้อรัง ปวดท้องน้อยมีเลือดออกทางช่องคลอดหลังมีเพศสัมพันธ์เลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด เลือดออกกะปริบกะปรอยอุจจาระ หรือปัสสาวะเป็นเลือด ไอเป็นเลือด ต่อมน้ำเหลืองโต ไตวาย ฯลฯ (ในมะเร็งที่มีการแพร่กระจายไปอวัยวะอื่นแล้ว)การรักษา ขึ้นกับระยะลุกลามของโรค
ติดตามโดยการตรวจซ้ำบ่อยขึ้นในผู้ที่พบเซลล์ผิดปกติจี้ด้วยความเย็น ยิงด้วยแสงเลเซอร์ผ่าตัดปากมดลูกด้วยห่วงไฟฟ้า โดยใช้ลวดผ่านกระแสไฟฟ้าฝานเอาชิ้นเนื้อผิดปกติออกไป (loop electrical excision procedure ย่อว่า LEEP)ตัดคว้านปากมดลูกออกเป็นรูปกรวย (conization)ผ่าตัดเอามดลูก และปีกมดลูกออกทั้งหมดฉายรังสีเคมีบำบัดรักษาโรคแทรกซ้อนตามอาการการป้องกัน
ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงควรเริ่มตรวจภายในเพื่อคัดกรองโรค (Pap test) ตั้งแต่เริ่มมีเพศสัมพันธ์ ส่วนหญิงพรหมจารีควรเริ่มตรวจคัดกรองเมื่ออายุ 35 ปีขึ้นไป ควรตรวจภายในทุก 1-5 ปี ให้เหมาะสมตามความเสี่ยงของแต่ละคน สตรีที่เคยมีเพศสัมพันธ์ควรตรวจภายในเพื่อคัดกรองมะเร็งปากมดลูก (Pap test) ปีละครั้งไม่สำส่อนทางเพศไม่สูบบุหรี่ใช้ถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (กามโรค)ไปพบแพทย์ หากมีตกขาว หรือมีเลือดออกผิดปกติปัจจุบันมีการพัฒนาวัคซีนเพื่อป้องกันการติดเชื้อ HPV จนประสบความสำเร็จ ใช้ฉีดป้องกันเชื้อ HPV16 และ HPV18 ที่เป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกได้ นอกจากนี้ยังมีชนิดที่ครอบคลุมเชื้อ HPV6 และ HPV11 ที่เป็นสาเหตุของหูดหงอนไก่ได้ด้วย

ที่มาข้อมูล :นิตยสาร Health Today


************———————-****************
ช่วยด้วยฉันเป็นเริมที่อวัยวะเพศ!!

: เริมที่อวัยวะเพศเกิดจากอะไรA: เกิดจากเชื้อไวรัสที่เรียกว่า Herpes ชนิดที่ 2 ซึ่งเชื้อตัวนี้เป็นพี่น้องกับเริมที่บริเวณปากซึ่งเกิดจากชนิด Herpesชนิดที่ 1

Q: เริมติดต่อกันได้อย่างไร
A: เริมที่อวัยวะเพศส่วนมากเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ ส่วนที่ปากเกิดจากการจูบหรือการใช้ภาชนะร่วมกัน ซึ่งทั้ง 2 ชนิดนี้จะเกิดผื่นขึ้นหลังจากการสัมผัสประมาณ 2-20 วันและเวลาเกิดผื่นแล้วมักเป็นตุ่มน้ำใสรวมกันเป็นกลุ่มและแตกเป็นแผลซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 7-10 วัน หลังจากที่เกิดตุ่มครั้งแรกหายแล้ว เชื้อไวรัสจะเข้าไปหลบที่เซลล์ประสาท พอวันดีคืนร้ายก็จะออกมาทำให้เกิดตุ่มซ้ำอีก เช่น เวลาไม่สบาย เครียดหรืออื่นๆ

Q: ถ้าไม่มีประวัติเป็นเริมที่อวัยวะเพศมาก่อน แล้วเป็นครั้งแรกจะทราบได้หรือเปล่าติดมาจากใคร?
A: ยากมากครับ เพราะ
คนที่สัมผัสกับเชื้อเริมที่อวัยวะเพศครั้งแรก บางทีก็จะไม่มีอาการมากหายไปเองเวลากลับมาเป็นซ้ำอีกทีถึงจะรู้ตัวและหลงคิดว่าเป็นครั้งแรกเวลาที่คุณมีเพศสัมพันธ์กับคนที่เคยเป็นเริมถึงแม้ว่าคู่ของคุณที่เป็นเริมจะไม่มีแผลหรือตุ่มใดๆ ก็สามารถติดต่อได้ครับ ซึ่งมีการคาดคะเนว่า 80 % ของการติดต่อของเริมที่อวัยวะเพศในปัจจุบันจะติดต่อกันเมื่อไม่มีแผลหรือผื่น (เพราะถ้ามีแผลหรือผื่นก็คงไม่ควรยุ่งกันหรือใช้ถุงยางอนามัยช่วยด้วย) เพราะไวรัสสามารถติดต่อได้ออกมาได้ เรียกว่า “asymptomatic viral shedding”ระยะฟักตัวของเชื้อมีได้ตั้งแต่ 2-20 วัน

เพราะฉะนั้นเวลาเป็นแล้วอย่าไปโทษใครไม่มีประโยชน์หรอกครับ
Q: ยาที่ใช้ในการรักษาโรคเริมมีอะไรบาง
A: สมัยก่อนมีเพียงตัวเดียวคือ Acyclovir ซึ่งต้องทานวันละ 5 ครั้ง ปัจจุบันมียาใหม่ คือ Famciclovir และ Valaciclovirซึ่งทานเพียงวันละ 2-3 ครั้งเท่านั้น

Q: ครีม Acyclovir สามารถรักษาโรคเริมได้หรือไม่?
A: ยังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ในคนที่ดีพอที่จะพิสูจน์ได้ว่าครีมชนิดนี้ได้ผลจริง แต่ในคนไข้บางคนอาจได้ผลบ้าง เพราะฉะนั้นผมมักแนะนำให้ลองใช้ดูซัก 2-3 ครั้งว่าช่วยได้หรือเปล่า เมื่อเปรียบเทียบกับการที่ไม่ใช้ครีมนั้น (ต้องอย่าลืมว่าโรคเริมเกิดจากไวรัสซึ่งก็สามารถหายเองได้ด้วยครับ)

Q: เราสามารถป้องกันโรคเริมได้อย่างไรบ้าง
A: สำหรับเริมที่บริเวณปากนั้นเวลารู้สึกแสบๆ ตึงๆ ซึ่งเป็นอาการของการที่โรคเริมจะกลับเป็นซ้ำอีก (ซึ่งส่วนมากผู้ป่วยจะรู้ตัวเอง) ไม่ควรที่จะเอาบริเวณที่เป็นโรคสัมผัสกับผู้อื่น เช่น การจูบ, การใช้ส่งแก้วน้ำหรือลิปสติกรวมกับผู้อื่น สำหรับคนที่เป็นเริมที่อวัยวะเพศนั้นเวลาที่ยังเป็นโรคอยู่ควรงดเพศสัมพันธ์ หรือใช้ถุงยางอนามัย

ที่มาข้อมูล :นิตยสาร Health Today
2

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ข่าว บันเทิง Update24 ชั่วโมง


ข่าว วาไรตี้ Update24 ชั่วโมง



ข่าว วันนี้ ทุกหนังสือพิมพ์ Update24 ชั่วโมง



คลิปละครทุกตอน และ บทย่อละคร



Forword Mail เด็ดๆจากอีเมล์



ภาพดารา นักร้อง คนดัง



ข่าวฟุตบอล



คลิป VDO หนัง ละคร ภาพยนต์ ฟังเพลง เพลง มิวสิค



เพลงฮิต



เพลงประกอบละคร เพลงประกอบภาพยนต์



ซิกคอม ละคร ตลก



หนังตัวอย่าง ภาพยนต์



แกะกล่องหนังดัง



การ์ตูน



ตลก ขำขัน



โฆษณาบนสื่อต่างๆ



เด็กน่ารัก



ส่องสัตว์โลก



SEX SEXY ไม่โป๊



หนุ่มหล่อ



สยอง น่ากลัว สงคราม



ผี วิญญาณ มนุษย์ต่างดาว



โชว์เด็ด



กีฬา



เพลงลูกกรุง รุ่นพ่อ รุ่นแม่



เพลงเก่าๆ