สร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย
สร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย
ผลิตภัณฑ์เป็นที่โดดเด่นมาก ที่เป็นเจ้าแรกและเจ้าเดียวของโลกซึ่งไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร สามารถดูดซึมได้อย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาไม่เกิน 20 นาที มีอีกทั้งยังมากด้วยคุณประโยชน์ เช่น ลดความอ้วน ลดอาการภูมิแพ้ ป้องกันมะเร็ง เบาหวน ลดคอลเลสเตอรอล ป้องกันการเกิดโรคหัวใจ และอื่นๆ อีกมากมาย รายละเอียดจะมีคุณหมอบรรยาย ใน www.funnyagel.com
************———————-****************
ประกาศิต 7 ประการเพื่อการควบคุมน้ำหนัก

คุณสาวๆ คงจะรู้สึกภูมิใจมากหากใครต่อใครเหลียวหลังมองคุณในชุดเกาะอกตัวจิ๋ว มันอาจใช่เลยว่า วันนี้เป็นวันของคุณ แต่หากวันหนึ่งข้างหน้าคุณดันปล่อยเนื้อปล่อยตัวไปซักหน่อย อะไรจะเกิดขึ้นตามมา ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของเราที่จะอธิบายว่า คุณควรปฏิบัติตัวอย่างไรดีเพื่อให้รูปร่างของคุณยังคงฟิตปั่งได้ดั่งใจ ลองมาดูเคล็ดลับทั้ง 7 ประการกันเลย เริ่มต้นด้วย
1. Start the day right
สุภาษิตยอดฮิตไม่ว่าที่ไหนก็ตามดังที่ว่า กองทัพต้องเดินด้วยท้อง นั้นสงสัยจะจริงแท้แน่นอน เพราะการลดน้ำหนักก็เป็นเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ก็เพราะผลการศึกษาจากสถาบันควบคุมน้ำหนักแห่งหนึ่งที่ทดลองในคนมากกว่า 6,000 คน ซึ่งสามารถลดน้ำหนักได้อย่างน่าพอใจและยังคงรักษาน้ำหนักขณะนั้นไว้ได้ ถึง 6 ปี โดยสรุปก็คือว่า หากคุณเริ่มต้นวันใหม่ ด้วยการทานข้าวเช้าให้เรียบร้อย คุณจะสามารถควบคุมอาหารมื้อต่อๆ ไปได้ง่ายขึ้นตลอดทั้งวัน นอกจากนี้คุณก็ควรระวังเครื่องดื่มที่แอบแฝงแคลอรีเอาไว้ อย่างกาแฟลาเต้ ชาเย็น และน้ำผลไม้ เป็นต้น
2. Get Some Protein
เคล็ดลับข้อนี้อยู่ที่การรับประทานโปรตีนทดแทนอาหารกลุ่มอื่นๆ จำพวกคาร์โบไฮเดรต หรือไขมัน ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า คุณผู้หญิงควรทานโปรตีนประมาณวันละ1/3 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 ปอนด์ ดังนั้นสมมุติว่าหากคุณมีน้ำหนักตัว 145 ปอนด์หรือ 65 กิโลกรัม คุณก็ควรทานโปรตีนประมาณ 48 กรัม
3. Pack on produce and Eat to feel full on less
ข้อนี้ผู้เชี่ยวชาญหลายสำนักต่างเห็นตรงกันว่า การทานพวกผักผลไม้มากๆ จะส่งผลดีต่อการควบคุมน้ำหนัก เพราะพืชผักพวกนี้จะทำให้อิ่มเร็วพร้อมกับแคลอรีไม่มากนัก หรืออีกวิธีคือถ้าในเมนูวันนั้นเป็นพวกเนื้อสัตว์ ชีส พาสต้า หรือข้าว คุณก็อาจจะเลือกทานเพียงครึ่งเดียวแต่ไปเพิ่มผักเข้าไป อีกเท่าตัว ทีนี้ก็แน่นอนว่า คุณจะสามารถอิ่มอร่อยแบบไม่อ้วนได้
4. Work out to better manage stress
แน่นอนว่าการออกกำลังกายนอกจากจะช่วยคลายเครียดแล้ว ยังจะช่วยจัดการกับขนมขบเคี้ยว ที่คุณเพิ่งทานเล่นเข้าไป ให้กลายเป็นพลังงาน นอกจากนี้ คุณควรจะคิดว่าการออกกำลังกายคือ กิจวัตรที่คุณจะต้องทำเสมือนกับการเข้าประชุม หากวันนี้มีเหตุจำเป็นจริงๆ คุณก็ควรมีวินัยในตนเอง โดยการหาเวลามาชดเชยการออกกำลังกายที่หายไปในวันรุ่งขึ้น
5. Love what you do to get fit
อันนี้เหมาะกับคนที่ไม่ค่อยพิสมัยการออกกำลังตามยิมชั้นนำซักเท่าไหร่ ข้อนี้ผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำว่า คุณควรหา กิจกรรมเรียกเหงื่ออย่างที่คุณโปรดปราน เป็นต้นว่า พาเจ้าหมาตัวโปรดไปเดินเล่นนอกบ้าน หรือออกไป เล่นซอฟบอลกับบรรดาเพื่อนๆ หรือไม่ก็ชวนเพื่อนขาเม้าสŒไปเดินเล่นซัก 30 นาทีด้วยกันก็ได้
6. Have a plan B
สำหรับข้อนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่คุณจะออกไปเฮฮากับเพื่อนช่วงวันหยุด แล้วกลับมาพร้อมกับน้ำหนักตัว เกินไปซัก 5 ปอนด์ (2.2 กก.) บนตาชั่งตัวเก็ง ขอย้ำว่า ไม่เป็นไร พรุ่งนี้ค่อยเริ่มกันใหม่ อาหารมื้อถัดไปค่อยทานน้อยลงเป็นไง
7. Stop and Think
สุดทายนี้แถมให้ก็คือว่า เมื่อจานหลักของคุณเรียบร้อยแล้ว คุณมักจะได้ยินคำถามต่อว่า "รับของหวานไหม" พร้อมกับส่งเมนูขนมหวานหน้าตาชวนลิ้มมาให้คุณ….คำแนะนำต่อไปนี้คือ คิดและคิดก่อนว่าจะสั่งหรือไม่สั่ง "เมื่อกี๊เรากินอะไรไปบ้าง" หรือ " เอ กินเยอะไปหรือเปล่านะวันนี้" คำถามทั้งหลาย ที่พากันโถมเข้ามาในหัวคุณนี้จะช่วย ให้คุณสร้างระเบียบวินัยในการทานอาหารและการใช้ชีวิตที่ถูกต้อง มากขึ้นอันนำไปสู่การควบคุมน้ำหนักตัว ที่ได้ผลดีเยี่ยมนั่นเอง
ที่มา : bangkoknight-today
************———————-****************
เคล็ดลับลดอ้วนแบบเร่งรัด

a>
เคล็ดลับลดอ้วนแบบเร่งรัด
หากคุณยอมรับว่า 2-3 เดือนที่ผ่านมาคุณเต็มไปด้วยความขี้เกียจ ไม่เคยเข้าโรงยิมเลยตั้งแต่ต้นปี แม้เคยสัญญากับตัวเองว่าจะออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอในปีนี้ และคุณเริ่มสวมกางเกงยีนส์ตัวเก่าไม่ได้อีกต่อไป
คุณก็ควรยอมรับว่า ไม่มีทางจะลดน้ำหนัก 10 ปอนด์ ได้ภายใน 1 สัปดาห์ แต่มีวิธีที่จะทำให้คุณรู้สึกว่าทำได้ และแลดูผอมลง ซึ่งคุณต้องชอบแน่ๆ
ต่อไปนี้คือเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำง่าย ไม่เหนื่อย และไม่ต้องขวนขวายอะไรมาก เพื่อช่วยลดความอ้วน โดยเฉพาะบริเวณหน้าท้องและรอบเอว ซึ่งจะทำให้คุณกลับมาสวมกางเกงยีนส์ตัวเดิมได้ในเร็ววัน
ดื่มน้ำเยอะๆ
อย่าขี้ตืดในการดื่มน้ำ แม้ดื่มเข้าไปแล้วจะเพิ่มน้ำหนักตัวขึ้นมาบ้าง แต่มันช่างน้อยนิดและเทียบไม่ได้กับประโยชน์ที่คุณจะได้รับจากการดื่มน้ำอย่างเต็มที ่ อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว คุณรู้ไหมว่า หากปล่อยให้ร่างกายขาดน้ำ เกลือจะตกค้างอยู่ในเนื้อเยื่อของคุณ และทำให้คุณกระหายน้ำ การดื่มน้ำเปล่าหรือรับประทานผลไม้ชุ่มน้ำ เช่น แตงโม องุ่น ฯลฯ จะช่วยขจัดโซเดียมส่วนเกินออกจากร่างกาย ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานดีขึ้น และช่วยยับยั้งความหิวได้เป็นอย่างดี
ลดการบริโภคเกลือ
เพราะอาหารโซเดียมสูง เช่น ขนมเพรทเซลส์, มันฝรั่งทอด, โคลด์คัทส์ (เนื้อแช่เย็นหั่นบางๆ) และพิซซ่า ฯลฯ ไม่เพียงทำให้คุณกระหายน้ำ อาหารรสเค็มทั้งหลายยังเต็มไปด้วยแป้งและไขมัน หากคุณอยากจะลดน้ำหนักในฉับพลัน ควรรับประทานกล้วยเป็นประจำ เพราะโปแตสเซียมในกล้วยจะช่วยขับโซเดียมออกจากร่างกาย
หลีกเลี่ยงอาหารขัดขาว
คุณควรรู้ว่าในขนมเค้ก, คุกกี้ และแฟรปปุชชิโนตามร้านกาแฟหรูราคาแพง ล้วนเต็มไปด้วยน้ำตาลทรายขาว ไม่เพียงเท่านั้นของหวานดังกล่าวยังอุดมไปด้วยแป้งขัดขาว ธัญพืช และน้ำสลัด น้ำตาลทรายขาวจะแตกตัวเป็นกลูโคสอย่างรวดเร็ว คุณจึงรู้สึกกระปรี้กระเปร่าเพราะได้รับพลังงานในทันที และมันจะทำให้คุณอยากบริโภคน้ำตาลมากขึ้น มากขึ้น แทนที่จะหลงเข้าไปติดกับดักความหวานของน้ำตาลและแป้งขัดขาว คุณควรหันมารับประทานขนมปังและเส้นพาสต้าที่ทำจากแป้งโฮลวีต และจำไว้ด้วยว่าผู้ร้ายที่คอยทำลายสุขภาพของคุณไม่ได้มีอยู่เฉพาะในของหวาน ในเครื่องดื่มก็มีเหมือนกัน ตัวอย่างเช่น เครื่องดื่มกระทิงแดง 1 กระป๋อง มีน้ำตาล 25 กรัม ขณะที่ชาเย็นกระป๋องยี่ห้อหนึ่งมีน้ำตาลสูงถึง 46 กรัม!
กินทั้งเปลือก
ไฟเบอร์ช่วยให้ระบบขับถ่ายของคนเราดำเนินไปอย่างราบรื่น แหล่งไฟเบอร์ที่อุดมสมบูรณ์คือผักและผลไม้ รวมทั้งถั่วต่างๆ นอกจากมีไฟเบอร์อยู่ตรงเปลือก เม็ดถั่วยังเต็มไปด้วยโปรตีน ซึ่งจะช่วยให้คุณอิ่มนานขึ้น คุณจึงไม่ต้องวิ่งหาของกินอีก หลังจากผ่านมื้อเที่ยงไปเพียง 1-2 ชั่วโมง
กินช้าๆ
เวลาที่กลืนอาหารลงท้อง คุณกำลังกลืนอากาศลงไปด้วย หากไม่อยากจะท้องป่องเหมือนลูกโป่ง คุณควรกินช้าๆและคำเล็กๆ ลองพยายามวางช้อนลงตอนที่เคี้ยวอาหาร มันจะช่วยให้คุณกินอาหารช้ากว่าปกติ นอกจากท้องไม่ป่อง การกินช้าๆ ยังช่วยให้รับรสอาหารอย่างเต็มที่ รู้สึกอิ่มเร็วขึ้น และได้รับแคลอรี่ลดต่ำลง
………อย่างนี้อย่าทำ
อย่าเคี้ยวอาหารนานเกินไป เพราะมันไม่ช่วยให้หน้าท้องคุณแฟบลง ปล่อยให้การเคี้ยวเอื้องเป็นหน้าที่ของวัวควายต่อไปเหอะ ทางที่ดีคุณควรออกไปวิ่งหรือปั่นจักรยานเพื่อเผาผลาญพลังงาน
อย่ากินอาหารตามกระแสนิยม เช่น อาหารไขมันสูง (High-fat) หรือคาร์โบไฮเดรตต่ำ (Low-carb) เพราะมันจะกระตุ้นให้คุณสวาปามเนื้อและชีสเข้าไปมากผิดปกติ ทำให้มีแก๊สในท้อง แค่คุณกินอาหารน้อยๆ และกินอย่างฉลาดก็พอแล้ว
อย่าดื่มเบียร์เหมือนดื่มน้ำ ไม่ว่าเพื่อลืมทุกข์หรือยิ้มรับความสุข เพราะการดื่มเบียร์จะก่อให้เกิดแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ในท้อง แม้เบียร์แก้วสองแก้วอาจไม่ทำให้เกิดฟองอากาศในกระเพาะ แต่เบียร์แก้วหนึ่งก็ให้พลังงานสูงถึง 90 แคลอรี ถ้าอยากดื่ม คุณควรตัดปัญหาเรื่องพลังงานส่วนเกิน ด้วยการดื่มค็อกเทลผสมไดเอทโทนิกหรือน้ำแร่จะดีกว่า
ที่มา : bangkoknight-today
************———————-****************
ฟักทองแผลงฤทธิ์ต่อต้านมะเร็ง สะกดเซลล์ไม่ให้ โงหัวขึ้นมาได้
ฟักทองแผลงฤทธิ์ต่อต้านมะเร็ง สะกดเซลล์ไม่ให้ โงหัวขึ้นมาได้
นักวิจัยมหาวิทยาลัยมาเลเซียได้พบว่า ฟักทองสามารถสะกดเซลล์มะเร็งไว้ไม่ ให้แผลงฤทธิ์ได้ โดยทำให้มันอ่อนแอ จนไม่อาจก่อการอาละวาดขึ้น
นักวิจัยของคณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม รายงานว่า ศึกษาพบว่าแป้งฟักทองมี “กรดโปรไพโอนิค” กรดนี้ทำให้แป้งเป็นของที่ไม่อาจจะย่อยได้ จึงหมักพวกแบคทีเรียเอาไว้ และบ่อน ทำลายเซลล์มะเร็งให้อ่อนแอลง
นักวิจัยนัวร์ อาเซีย อาจารย์ผู้บรรยายของคณะกล่าวต่อไปว่า ฟักทองยังมีกากใยสูง อุดมด้วยวิตามินเอและสารต่อต้านการผสมกับออกซิเจนกับเกลือแร่ สีของมันเหมาะกับนำไปผสมกับขนมปังหรือเส้นก๋วยเตี๋ยว เนื้อของมันเมื่ออบให้แห้ง นำไปผสมกับแป้งสาลี จะเอาไปทำแป้งที่ใช้ประโยชน์ทำอาหารได้หลายชนิด “เมื่อทำเป็นแป้ง แป้งฟักทองจะไม่มีรสชาติของฟักทองหลงเหลืออยู่เลย ใครๆก็กินได้”.
ข้อมูลจาก : เรื่องที่เกี่ยวข้อง :
************———————-****************
ดื่ม น้ำอัดลม วันละ 2 กระป๋องเสี่ยงเป็น มะเร็งตับอ่อน 90%
เตือนดื่ม น้ำอัดลม วันละ 2 กระป๋อง กาแฟ หรือ ชาใส่น้ำตาล หรืออาหารรสหวาน เพิ่มความเสี่ยงในการเป็น มะเร็งตับอ่อน เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์
แถลงการณ์ของสถาบันคาโรลินสกาในสวีเดนระบุว่า นี่เป็นครั้งแรกที่นักวิจัยพบว่า การบริโภคอาหารและเครื่องดื่มที่มีรสหวานส่งผลต่อโอกาสในการเป็นโรค มะเร็งตับอ่อน ซึ่งเป็นมะเร็งที่ร้ายแรงและตรวจพบยากที่สุดชนิดหนึ่ง
ทั้งนี้ เกือบทั้งหมดของผู้ป่วย มะเร็งตับอ่อน 7,000 คนในแต่ละปีเสียชีวิตหลังตรวจพบเนื้อร้าย ส่วนหนึ่งเนื่องจากตรวจพบช้าเกินไป มีเพียง 2% เท่านั้นที่ยังมีชีวิตรอดหลังจากรู้ตัวว่าเป็น 5 ปี อย่างไรก็ดี การผ่าตัดตามด้วยการทำเคมีบำบัดอาจช่วยยืดอัตราการรอดชีวิตได้
ผลศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสารอเมริกัน เจอร์นัล ออฟ คลินิคัล นิวทริชั่น ระบุว่านักวิจัยของของสถาบันคาโรลินสกาได้ติดตามพฤติกรรมการกินของชาย-หญิงสุขภาพดีอายุ 45-83 ปี จำนวน 80,000 คนระหว่างปี 1997-2005 โดย 131 คนในจำนวนนี้เป็น มะเร็งตับอ่อน
"คนที่มีความเสี่ยงมากที่สุดคือคนที่ดื่ม น้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มที่มีน้ำเชื่อมมาก โดยกลุ่มที่บอกว่าดื่มผลิตภัณฑ์ดังกล่าววันละสองกระป๋องหรือมากกว่านั้น มีความเสี่ยงมากกว่ากลุ่มที่ไม่ดื่มถึง 90%" รายงานระบุ
ส่วนคนที่กินอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีการเติมน้ำตาลลงไปอย่างน้อยวันละ 5 ครั้ง มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 70%
นักวิจัยอธิบายว่า มะเร็งตับอ่อน อาจเกิดจากการที่ตับอ่อนผลิต อินซูลิน มากขึ้น อันเป็นผลจากความผิดปกติของกระบวนการเผาผลาญกลูโคส ทั้งนี้ การกินน้ำตาลมากๆ เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ตับอ่อนผลิต อินซูลิน มากขึ้น
"เราคิดว่าสาเหตุมาจากอินซูลิน ถ้าเรากินอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลมาก ก็จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ส่งผลให้ตับอ่อนต้องทำงานหนักขึ้น ผลคือเป็นการกระตุ้นการเติบโตของ ตับอ่อน ซึ่งอาจนำไปสู่มะเร็ง" ดร.ซูซานนา ลาร์สัน จากสถาบันคาโรลินสกาในสตอกโฮล์ม แจกแจงและเสริมว่า การสูบบุหรี่เป็นอีกปัจจัยสำคัญของ มะเร็งตับอ่อน
ที่อังกฤษ สถิติผู้ป่วย มะเร็งตับอ่อน ลดลง 5% ซึ่งเชื่อว่าเกี่ยวโยงกับการลดลงของจำนวนสิงห์อมควัน กระนั้น ดร.ลาร์สันเตือนว่า เป็นไปได้ที่การสูบบุหรี่ลดลงกลับกลายเป็นการปิดบังข้อเท็จจริงที่ว่า ผู้บริโภคกินอาหารและเครื่องดื่มรสหวานมากขึ้นในช่วงหลายปีมานี้
"คำแนะนำที่ดีที่สุด โดยเฉพาะสำหรับเด็กๆ คือ จำกัดการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล"
ก่อนหน้านี้ แพทย์เคยเตือนผู้หญิงให้จำกัดปริมาณการดื่ม น้ำอัดลม เนื่องจากส่งผลให้ กระดูกพรุน จาก กรดฟอสฟอริก ที่พบในโคล่า แต่การศึกษาของนักวิจัยสวีเดนครั้งนี้ไม่มีการเฉพาะเจาะจงประเภท แต่ครอบคลุม น้ำอัดลม ทั้งหมด รวมถึงเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล รวมถึงน้ำผลไม้ที่ผสม น้ำอัดลม
ที่มา : deedeejang.com
************———————-****************
โอเมก้า – 3 ในปลาให้คุณค่าสารอาหารจริงหรือ?
โอเมก้า – 3 ในปลาให้คุณค่าสารอาหารจริงหรือ?
พูดถึง โอเมก้า-3 ซึ่งเป็นกรดไขมันที่ผู้คนให้ความสนใจไม่น้อย เพราะกระแสในปัจจุบัน โอเมก้า-3 เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะกลุ่มคนในแถบเมืองหลวงมีความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ
น้ำมันปลา ซึ่งประกอบด้วยกรดไขมันโอเมก้า-3 เริ่มเป็นที่สนใจมากว่า 20 ปี เมื่อมีข้อมูลว่า ชาวเอสกิโม ที่บริโภคปลาในปริมาณสูง จะมีปัญหาเส้นเลือดอุดตันน้อย ระดับไขมันในเลือดต่ำ และการเกาะตัวของเกล็ดเลือดน้อยกว่าชาวเดนมาร์กซึ่งกินเนื้อสัตว์มากกว่า นอกจากนี้ ยังพบว่าชาวญี่ปุ่นในหมู่บ้านชาวประมง ที่บริโภคปลาในปริมาณมาก จะมีโรคหลอดเลือดหัวใจ การเกาะตัวของเกล็ดเลือดและความหนืดของเลือดน้อยกว่าชาวญี่ปุ่นในหมู่บ้านเลี้ยงสัตว์
กรดไขมันโอเมก้า-3 เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่ร่างกายสร้างเองไม่ได้ จำเป็นต้องได้รับจากอาหาร กรดไขมันโอเมก้า-3 ที่สำคัญมี 2 ชนิด ได้แก่ EPA ( EICOSAPENTAENOIC ACID ) และ DHA ( DOCOSAHEXAENOIC ACID ) พบได้ในน้ำมันจากปลาทะเลน้ำลึก ซึ่งจะมีไขมันที่เรียกว่า FISH OIL หรือน้ำมันปลา (มิใช่น้ำมันตับปลา) ได้แก่ ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน ปลาทูน่า ปลาแมคเคอเรล ส่วนปลาทะเลของไทย ที่มีปริมาณกรดไขมันโอเมก้า - 3 พอประมาณ ได้แก่ ปลาทู ปลาโอ ปลากะพง ปลาเก๋า และ ปลาอินทรี เป็นต้น ปลาน้ำจืดบางชนิดก็มีกรดไขมันโอเมก้า-3 บ้าง เช่น ปลาช่อน ปลานวลจันทร์ นอกจากนี้กรดไขมันแอลฟ่าไลโนเลนิค ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของกรดไขมัน EPA และ DHA ยังมีอยู่ในน้ำมันจากเมล็ดธัญพืชบางชนิด เช่น น้ำมัน Flaxseed น้ำมันวอลนัท น้ำมันแคโนลา และน้ำมันถั่วเหลือง
ความสำคัญของกรดไขมันโอเมก้า-3 ชนิด DHA ในเด็กคือ มีผลต่อการเจริญเติบโตของสมองและจอประสาทตาของทารกในครรภ์ โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนก่อนคลอด มีความสัมพันธ์ระหว่างการขาด DHA และอาการของโรคสมาธิสั้น (Attention Deficit Hyperactivity Disorder : ADHD) โดยเด็กที่มีระดับ DHA ต่ำ จะมีปัญหาด้านพฤติกรรม อารมณ์ การนอนและการเรียนรู้มากกว่าเด็กกลุ่มที่มีระดับ DHA ปกติ และเมื่อได้รับ DHA เสริมอาการต่างๆ จะดีขึ้น
ส่วนในผู้ใหญ่และผู้สูงอายุนั้น กรดไขมันโอเมก้า-3 ชนิด EPA จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจได้ โดยลดการเกาะตัวของเกล็ดเลือดและลดการหดตัวของหลอดเลือด ทำให้เกิดลิ่มเลือดอุดตันได้ยากขึ้น ลดระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือดและเพิ่มระดับ HDL-cholesterol ซึ่งเป็นไขมันชนิดดี ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดได้
นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันโรคความจำเสื่อม จากงานวิจัยของ National Institute of Public Health and the Environment ประเทศเนเธอร์แลนด์ พบว่าคนที่บริโภคปลาอย่างสม่ำเสมอ เมื่ออายุมากขึ้น ความจำจะลดน้อยกว่าคนที่บริโภคปลาน้อยและใช้น้ำมันพืชมาก และสิ่งที่ผู้คนให้ความสนใจมากในปัจจุบันนี้คือ กรดไขมันโอเมก้า - 3 สามารถชะลอหรือป้องกันการเจริญของเซลล์มะเร็ง มีข้อมูลทางระบาดวิทยาว่า ชาวเอสกิโม และชาวเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งบริโภคปลามาก จะมีอุบัติการณ์ของมะเร็งต่ำ และมีข้อมูลในสัตว์ทดลอง เช่น หนู แสดงให้เห็นว่า กรดไขมันโอเมก้า - 3 สามารถลดการเจริญของเซลล์มะเร็งต่อมลูกหมากและเต้านมได้
จากคุณประโยชน์ของกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่มีอยู่ในน้ำมันปลา ทำให้มีผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทน้ำมันปลาเกิดขึ้นมากมาย อย่างไรก็ตามต้องคำนึงถึงข้อควรระวังดังนี้
1. ทำให้เลือดออกง่าย โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่รับประทานยาแอสไพรินเป็นประจำ
2. เพิ่มสารอนุมูลอิสระจากไขมัน (Lipid peroxide) ในระยะยาวอาจส่งเสริมการเกิดโรคหัวใจขาด
เลือด มะเร็ง และชราภาพ ถ้าร่างกายไม่ได้บริโภคสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) อย่างพอเพียง
3. เพิ่มความต้องการวิตามินอี โดยเฉพาะน้ำมันปลาที่ไม่มีการเติมวิตามินอี
4. มีกลิ่นคาวปลา
อันตรายในระยะยาวของการบริโภคน้ำมันปลายังไม่เป็นที่ทราบชัดเจน ดังนั้น จึงควรพิจารณาระหว่างผลดีที่อาจจะได้ และผลเสียที่อาจเกิดขึ้น ดังนั้นการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทน้ำมันปลา จึงควรอยู่ในดุลพินิจของแพทย์ เพื่อความปลอดภัย ควรบริโภคปลาที่มีกรดไขมันโอเมก้า-3 อย่างน้อย 2 ครั้งต่อสัปดาห์ หากท่านสนใจในรายละเอียด ติดตามได้ในงานวันประมงน้อมเกล้าฯ
ที่มา : manager
************———————-****************
ประโยชน์ของมะขามเปียก
ประโยชน์ของมะขามเปียก
มะขามเปียกมีประโยชน์อย่างไรต่อร่างกาย ใครทราบบ้าง วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาฝากกัน….
มะขามเปียก ถือเป็นสมุนไพรชนิดหนึ่ง ที่มีสรรพคุณในเรื่องของระบบขับถ่าย ถ้าเกิดท้องผูกขึ้นมา ก็ให้หยิบมะขามเปียกมาจิ้มเกลือรับประทานสักฝักสองฝักเป็นอันได้ผล แต่เรื่องของความสะอาดนั้นถือว่าสำคัญมาก เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะหยิบมะขามเปียกมารับประทาน ต้องดูให้แน่ใจว่ามีสิ่งสกปรก หรือเชื้อราเกิดขึ้นหรือเปล่า แต่ทางที่ดีควรนำเข้าตู้ไมโครเวฟก่อน ถ้าเป็นไปได้ให้ซื้อมะขามเปรี้ยว ซึ่งมีจำหน่ายเป็นฝัก ๆ มาแกะเปลือกไว้กินเองดีกว่า
อีกปัญหาหนึ่งของผู้ที่นิยมกักตุนมะขามเปียกไว้ใช้ แต่แล้วผ่านไปไม่นาน สีของเนื้อมะขามที่เคยออกโทนน้ำตาล กลับกลายเป็นสีดำไม่น่ารับประทาน ฉะนั้นหลังจากได้มะขามเปียกมา ให้บรรจุลงในภาชนะที่ไม่ใช่อะลูมิเนียม โรยเกลือแกงเม็ดใหญ่ ๆ บริเวณด้านบน ปิดฝาให้สนิท
เพียงเท่านี้ก็จะได้รับประทานมะขามเปียกสีสันตามธรรมชาติและถ้าใครท้องผูกก็อย่าลืมหันมาทานมะขามเปียกกันดู จะได้มีระบบขับถ่ายที่ดี.
ข้อมูลจาก :
************———————-****************
ส้มเขียวหวานอาจลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งตับ

คณะนักวิจัยที่สถาบันวิทยาศาสตร์ผลไม้เขตร้อนแห่งชาติของญี่ปุ่น ศึกษาชาวเมืองมิคคาบิ จังหวัดชิซูโอกะ 1,073 คน ที่ทานส้มเขียวหวานจำนวนมาก พบว่า ตัวอย่างเลือดของอาสาสมัครมีสารเคมีที่ช่วยลดการเป็นโรคตับ ภาวะหลอดเลือดแข็ง และภาวะดื้ออินซูลิน ด้านคณะนักวิจัยที่มหาวิทยาลัยแพทย์เกียวโต ศึกษากับผู้ป่วยตับอักเสบเพราะเชื้อไวรัส 75 คน แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรก 30 คน ให้ดื่มน้ำส้มเขียวหวานทุกวัน วันละ 1 แก้ว เป็นเวลา 1 ปี กลุ่มสอง 45 คน ไม่ได้ดื่ม ปรากฏว่า กลุ่มแรกไม่มีใครเป็นมะเร็งตับเลย ขณะที่กลุ่มสอง มีอัตราเป็นมะเร็งตับร้อยละ 8.9 คณะนักวิจัยเตรียมขยายเวลาศึกษาวิจัยเป็น 5 ปี เพื่อให้ได้ผลที่แม่นยำขึ้น
ด้านมูลนิธิวิจัยมะเร็งอังกฤษ ให้ความเห็นว่า กลุ่มตัวอย่างในงานวิจัยชิ้นหลังมีจำนวนน้อยเกินกว่าที่จะให้ผลชัดเจนว่า การทานส้มเขียวหวานช่วยลดความเสี่ยงเป็นมะเร็งตับได้ และในขณะนี้ยังไม่มีงานวิจัยยืนยันว่า ผลไม้ชนิดใดให้ผลเรื่องนี้เป็นพิเศษ แต่ละปีอังกฤษพบผู้ป่วยมะเร็งตับรายใหม่เกือบ 2,800 ราย อย่างไรก็ดี มูลนิธิหัวใจอังกฤษ เห็นว่า งานวิจัยของญี่ปุ่นสนับสนุนคำแนะนำของมูลนิธิ เรื่องทานผักและผลไม้อย่างน้อยวันละ 5 จาน จะลดความเสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดและหัวใจได้.
************———————-****************
ฟิตร่างกายตอนเย็นดีสุด
ฟิตร่างกายตอนเย็นดีสุด
ศาสตราจารย์โทมัส ไรลี แห่งสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การกีฬาและการออกกำลังกาย มหาวิทยาลัยลิเวอร์พูล จอห์นมัวร์ ระบุว่า ช่วงเวลาเหมาะที่สุดในการออกกำลังกายสำหรับคนส่วนใหญ่ราวร้อยละ 90 คือ ระหว่าง 16.00 ถึง 19.00 น. เพราะอุณหภูมิของร่างกายจะเพิ่มสูงสุด กล้ามเนื้อขยายตัว และมีความยืดหยุ่น เป็นช่วงที่ร่างกายมีกำลังมากทีสุด อัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิตต่ำ ดังนั้นจึงไม่ต้องใช้ความพยายามมากนักเพื่อออกกำลังกาย ทำให้มีแรงจูงใจอยากออกกำลังกายมากขึ้นและมีแนวโน้มบาดเจ็บน้อยลง
สำหรับผู้หญิง ศ.ไรลี แนะนำว่า ช่วงเวลาออกกำลังกายเหมาะสมที่สุดในแต่ละเดือน คือ ช่วง 7-14 วันหลังไข่ตก เพราะระดับฮอร์โมนโปรเจสเทอโรนจะเพิ่มสูงสุด ส่งผลกระทบต่อวิธีที่ร่างกายใช้ไขมันและคาร์โบไฮเดรต นอกจากนั้น หากมีอาการปวดประจำเดือนเป็นประจำ การออกกำลังเป็ยประจำแม้ในช่วงที่มีประจำเดือนก็สามารถบรรเทาอาการปวดประจำเดือนได้ด้วย (ข้อมูล : สรรสาระ)
ข้อมูลจาก :
************———————-****************
9 นิสัยที่ทำให้อ้วน
เราลองมานั่งพิจารณาดูว่า ไอ้ไขมันที่เพิ่มพูนส่วนหนึ่งมาจากนิสัยของเรานี้เอง นิสัยที่กล่าวถึงเราลองมาสังเกตนิสัยการกินของเรากันเถอะ
1. กินข้าวเร็ว
– การกินข้าวเร็วมาก แทบจะไม่เสียเวลาเคี้ยว กินแล้วกลืน คนอื่นยังกินอยู่ เราก็เรียบร้อยแล้วจานแรก ทำไงละคราวนี้ ก็ไปเบิ้ลจานสองสิ เขาว่ากินข้าวเร็วกระเพาะยัง ไม่ทันรับรู้ถึงความรู้สึกอิ่มเลย ดังนั้นค่อยๆกิน ไม่ได้จะรีบไปไหน จะให้ดี ก็ทานน้ำเยอะหน่อย จะได้อิ่มไวๆ
2. ดูโทรทัศน์ไป กินไป
– นี้ก็เป็นสาเหตุใหญ่อีก เวลาดูกีฬา ถ้าจะให้สนุกต้อง โค๊กกับเลย์ค่ะถึงจะเชียร์กีฬาสนุก แล้วเจ้า 2 ตัวนี้ ต่างก็แคลอรีสูงทั้งคู่เลย ปาเข้าไปไม่ต่ำกว่า 500 แคลอรี นี้เฉพาะอาหารว่างนะค่ะ แล้วที่กินเป็นอาหารหลักละ ไปแล้วเท่าไร ไม่อ้วนให้มันรู้ไป ของพวกนี้ เรียกว่า กินแล้วไม่ค่อยคำนึง เพราะกินไปเรื่อยๆมาเรียงๆ หมด ก็ไปเอามากินอีก ลองเปลี่ยนใหม่ ได้ไหมว่า เชียร์กีฬาไป กินผลไม้ไป เป็นการเชียร์กีฬาเพื่อสุขภาพอย่างแท้จริง อ้อ ส่วนเครื่องดื่ม น้ำเปล่าค่ะ
3. เสียดายของ
– ก็ได้รับการสั่งสอนมาตั้งแต่เด็กค่ะว่า กินข้าวจะต้องกินให้หมดจานอย่าเหลือ ทิ้งไว้ สงสารชาวนาที่ปลูกข้าว เต็มไปด้วยความยากลำบากกว่าจะได้ข้าวมาเม็ดหนึ่งพอเรากิน แม้จะอิ่มแล้วแต่ก็ต้องกินให้หมด เฮ้อ บางทีนะดิฉันว่าลดความสงสารชาวนาลงหน่อย สงสารตัวเรา มากขึ้นพออิ่ม ก็คือ อิ่ม ไม่ต้องรับผิดชอบต่อสังคมขนาดต้องกินให้หมดบางทีเห็นน้องๆกินเหลือ ยังไปช่วยเหลือเอามากินอีกให้หมด ต้องมาเสียเงินสำหรับลดน้ำหนักมากกว่าอีก
4. เครียดแล้วกิน
– อันนี้ดิฉันว่าเป็นโรคจิตแบบหนึ่งเลยนะ ประเภทประมาณว่าประชด อะไร ไม่พอใจ เครียด ก็เอาอาหารเป็นที่ระบาย กินเอากินเอา อย่างอกหัก แทนที่จะกินข้าวไม่ลง ไม่เลย บอกตัวเองว่า กินเข้าไป กินเข้าไป กินมันให้ท้องแตกตายไปเลย สุดท้ายไม่ตายค่ะ แต่มานั่งกลุ้มใจกับน้ำหนักที่เพิ่มพูนขึ้น
5. ให้รางวัลโดยการกิน
– นี้ก็เป็นนิสัยหนึ่งที่ชอบนัก เวลาเราดีใจ หรือทำอะไรประสบความสำเร็จ ต้องมีการนัดฉลองกันหน่อย กินฉลองสอบได้ กินฉลองได้ลูกค้าใหม่ กินฉลองวันเกิด กินฉลองวันเข้าพรรษา กินฉลองมันได้ทุกวัน ลองเปลี่ยนวิธีการให้รางวัลเป็นแบบของขวัญ หรือไปเที่ยว หรืออะไรก็ได้ ที่ไม่ต้องมาโยงกับการกิน ดีไหม
6. กินอาหารคาว ต้องตามด้วยของหวาน
– ไม่รู้ทำไมต้องเป็นสูตรแบบนี้ เหมือนตอนอยู่โรงเรียนจำได้ว่า พอกินข้าวเที่ยงเสร็จ จะต้องตามด้วยของหวาน พวกกล้วยบวดชี บวดฟักทอง ถั่วดำ และอีกสารพัด กินแบบนี้มาอย่างต่อเนื่อง ลองเปลี่ยนของหวานเป็นผลไม้ดีกว่า แอปเปิ้ล ฝรั่ง แตงโม และอีกเยอะแยะค่ะ
7. ต้องเอาให้คุ้ม
– ไปกินบุปเฟ่ต์ กินเท่าไรก็ได้ อย่างนี้ต้องกินให้เยอะๆ เอาให้คุ้ม ตักพูนจาน กินจนหมด อิ่มแล้ว แต่ยังไม่คุ้ม ไปตักเอามากินอีก นี้ถ้าไม่เกรงใจ จะเอาใส่ถุงพลาสติกกลับบ้านอีกนะนี้นะ อย่างบุปเฟ่ต์ของร้านไดโดมอน ชอบเป็นชีวิตและจิตใจ กินเข้าไป กินเข้าไป พอหันกลับมา เอ๊ะทำไมจานเนื้อจะท่วมมิดเราแล้วนะนี้พอๆ เลิกนิสัยแบบนี้เถอะ ไม่ต้องเอาให้คุ้มนักหรอก สงสารร้านเขาบ้าง ไม่ใช่กินให้คุ้มแล้วแบบนี้ เป็นการกินให้ร้านเขาเจ๊งมากกว่า
8. ยอมแพ้อะไรง่ายๆ
– คือ หลายครั้งที่เข้าโปรแกรมลดน้ำหนัก พอมันไม่ค่อยลด ก็ท้อใจ หันกลับไปกินมากเหมือนเดิม แถมยังยอมรับอย่างน่าสลดว่า ความอ้วนยังไงก็ต้องอยู่ติดตัวคู่กับเราไปทั้งชีวิตแน่ๆ อย่าค่ะ อย่าไปเชื่อยังงั้นสิ สู้ๆเข้าไป สู้เข้าไป มันลดได้สิ ยอมแพ้วันนี้ก็ต้องแพ้ มันไปตลอดกาล แต่หากสู้ เราก็ยังมีหวังเอาชนะได้ค่ะ
9. ออกกำลังกายแล้วกินเยอะขึ้น
– เป็นกันหลายคนจริงไหม คิดแต่ว่า เวลาออกกำลังกาย เราก็ใช้พลังงานไปเยอะแล้วนะ ให้รางวัลหน่อย กินเยอะขึ้นกว่าเดิม อ้วนค่ะ ที่ออกไปคืนมาหมด เรียกว่าเป็นพวกออกสลึง กินบาท น่าเสียดายจริงๆ หลายคนคิดว่า เอ๊ะ การออกกำลังกายทำให้ กินเยอะขึ้นหรือเปล่า ตอบเลยว่า ไม่จริงค่ะ ที่กินเยอะ เป็นเรื่องของจิตใจเรามากกว่า ยกตัวอย่าง หากออกกำลังกายโดยการวิ่ง 1 ชั่วโมง อย่างมากก็ประมาณ 600 แคลอรี จำนวนเท่านี้ หากกินเลย์กับโค๊ก มันก็เกิน 600 แคลอรีแล้วละค่ะ
************———————-****************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น